นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน ธนาคารมีกำไรในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 3,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.5% และรอบ 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 10,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.8% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/65 สินเชื่อรวมอยู่ที่ 1,394 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากสิ้นปีที่แล้ว ตามการเติบโตสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,374 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากสิ้นปีที่แล้ว หนุนโดยการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำ สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านเงินฝากเพื่อรองรับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคาร
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน ธนาคารมีกำไรในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 3,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.5% และรอบ 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 10,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.8% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/65 สินเชื่อรวมอยู่ที่ 1,394 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากสิ้นปีที่แล้ว ตามการเติบโตสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,374 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากสิ้นปีที่แล้ว หนุนโดยการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำ สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านเงินฝากเพื่อรองรับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคาร
ด้านรายได้ยังคงแนวโน้มเชิงบวก โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ย ในไตรมาส 3/65 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 12,968 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพและการบริหารจัดการต้นทุนด้านการเงิน สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยรายได้ค่าธรรมเนียมการขายประกันและค่าธรรมเนียมกลุ่มลูกค้าธุรกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ภายใต้การลงทุนด้านดิจิทัลและการเพิ่มจำนวนพนักงานภายในกลุ่มธนาคารตามแผนธุรกิจ ธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 45% เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย
จากปัจจัยด้านรายได้และค่าใช้จ่ายข้างต้น จึงทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ (PPOP) ในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 8,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากปีที่แล้ว รวม 9 เดือน PPOP อยู่ที่ 26,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย ส่งผลให้สัดส่วนหนี้เสียอยู่ในเกณฑ์ควบคุมและลดลงมาได้อย่างต่อเนื่องจากระดับสูงสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ช่วงไตรมาส 3/64 ที่ 2.98% มาอยู่ที่ 2.81% ณ สิ้นปีที่แล้ว และ 2.72% ในไตรมาสล่าสุด ประกอบกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จึงทำให้แรงกดดันด้านการตั้งสำรองฯ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
โดยในไตรมาส 3/65 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 4,361 ล้านบาท ลดลง 21.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือน ตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 13,551 ล้านบาท ลดลง 17.9% ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 3,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.5% และรอบ 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 10,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.8% ตามลำดับ
ทั้งนี้ การตั้งสำรองฯ ในระดับดังกล่าวยังเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงเศรษฐกิจปกติและเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อคุณด้อยภาพของธนาคารที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 135% จาก 129% ณ สิ้นปีที่แล้ว
ท้ายสุดด้านความเพียงพอของเงินกองทุน ยังอยู่ในระดับสูงและเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม โดยอัตราส่วน CAR และ Tier I (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.0% และ 16.0% ณ สิ้นไตรมาส 3/65 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ