“คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร คู่มือนำธุรกิจสู่ความยั่งยืน”

Date:

ผู้ประกอบการที่สนใจนำ ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)  “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” ถือเป็นเครื่องมือใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

finbiz by ttb จึงอยากชี้ให้เห็นว่า “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” มีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจ พร้อมกับขั้นตอน วิธีการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปประเมินก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

ทำไม “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” จึงมีความสำคัญ

คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) คือ การประเมินปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ประเมินได้ในหน่วยของปริมาณเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ มีมาตรฐานสากลคือ ISO 14064-1 กำกับและรับรองในระดับประเทศ และมีการเก็บข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกตลอด 1 ปี

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในรูปแบบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในชีวิตประจำวัน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ และคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร โดยเป็นการวัดเชิงตัวเลขที่สามารถขยายผลนำไปสู่การลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่อไป ซึ่งการคำนวณ ประเมิน และเปิดเผยรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล ความพยายามในการลดก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญนักลงทุนจากต่างประเทศอาจใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพิจารณาร่วมลงทุนกับธุรกิจได้

ขั้นตอนการคำนวณ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร มี 7 ขั้นตอน ได้แก่

1. การกำหนดขอบเขตการรายงาน

เป็นการทำบัญชีรายงานก๊าซเรือนกระจก เป็นรูปเล่มออกมา โดยต้องระบุว่ารายงานที่จะทำครอบคลุมพื้นที่ส่วนใดขององค์กร เช่น เฉพาะสำนักงานใหญ่ เฉพาะโรงงาน หรือทำทั้งองค์กร ขึ้นอยู่กับผู้ยื่นขอการรับรองว่ามีความพร้อมมากน้อยเพียงใด

2. การกำหนดขอบเขตองค์กร มีอยู่ 2 แบบ ต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่งในการรายงาน

แบบที่ 1 คือ แบบควบคุม (Control Approach) แบ่งเป็นควบคุมทางการเงินและควบคุมการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบัน 99% ใช้วิธีควบคุมการดำเนินงาน เช่น การใช้ไฟฟ้าขององค์กร เพราะหากควบคุมได้ก็จะบริหารจัดการให้เกิดการลดลงของก๊าซเรือนกระจกได้ และแบบที่ 2 คือ แบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ (Equity Share) คือไม่ได้ควบคุม แต่ถือหุ้นร่วมทุนอย่างเดียว

3. การกำหนดขอบเขตการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 Scope ดังนี้

·       Scope 1 Direct GHG Emissions & Removals เป็นการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรง คือ มีควันออกมาจากปล่อง มีการรั่วออกมาโดยตรง แบ่งการวัดออกเป็น

o   การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ที่อยู่กับที่ เช่น การผลิตไฟฟ้า ความร้อนและไอน้ำใช้เองภายในองค์กร การเผาไหม้ของอุปกรณ์ / เครื่องจักรที่องค์กรเป็นเจ้าของ เช่น การเผาไหม้ Generator การเผาไหม้ LPG เพื่อปรุงอาหาร การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล โดยเก็บข้อมูลปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในแต่ละเครื่องจักรและอุปกรณ์ ใช้หน่วยเป็นลิตรหรือกิโลกรัม

o   การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากเผาไหม้ที่มีการเคลื่อนที่ เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากยานพาหนะที่องค์กรเป็นเจ้าของ เช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถโฟล์คลิฟท์ รถตัดหญ้า หรือ ยานพาหนะที่มีอำนาจในการควบคุม เช่น รถเช่า องค์กรไหนมีเรือ เครื่องบิน รถไฟ เฮลิคอปเตอร์ ก็ต้องนำมารวมด้วย การเก็บข้อมูลส่วนนี้ค่อนข้างง่าย เพราะปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่ใช้บัตรเติมน้ำมัน (Fleet Card) สามารถดูได้ว่าแต่ละเดือนใช้เชื้อเพลิงไปกี่ลิตร

o   การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากกระบวนการผลิต ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกิริยาเคมีในกระบวนการผลิต เช่น การเผาในกระบวนการ Calcinations ของการผลิตปูนซีเมนต์

o   การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลและอื่น ๆ เช่น การรั่วไหลของสารทำความเย็น สามารถดูได้จากการซ่อมบำรุง

o   การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากของชีวมวล เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินจากพื้นที่ป่า เป็นพื้นที่เกษตรกรรม   

·       Scope 2 Energy Indirect GHG Emissions เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม จากการใช้พลังงานที่องค์กรซื้อหรือนำเข้ามา โดยไม่ได้ผลิตเอง มีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น และอากาศอัด สำหรับวิธีการเก็บข้อมูลสามารถดูได้จากใบเสร็จ เช่น บิลไฟฟ้าจะแจ้งกำลังไฟฟ้าที่ใช้เป็นกิโลวัตต์ต่อหน่วย

·       Scope 3 Upstream & Downstream Activities เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรควบคุมไม่ได้ ให้รายงานเฉพาะแหล่งที่มีนัยสำคัญ อย่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากวัตถุดิบตั้งต้นที่ซื้อมา เช่น ปริมาณการใช้กระดาษ A4, กระดาษทิชชู, น้ำประปา การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันทาง TGO มีระเบียบออกมาแล้วว่าจะบังคับให้รายงาน Scope 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 เป็นต้นไป

4. การคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก

สมการง่าย ๆ คือ CO2e   = Activity Data X Emission Factor  

*ค่า Emission Factor และวิธีคำนวณอย่างละเอียดดูได้จากเว็บไซต์ของ  TGO

5. การจัดทำเอกสารเพื่อรายงาน

นำข้อมูลทั้งหมดมาจัดทำรายงานเป็นรูปเล่ม ในรูปแบบ Word, Excel และ PowerPoint ซึ่งทาง TGO มีรูปแบบการจัดทำรายงานให้เรียบร้อยแล้ว 

6. การทวนสอบ

ส่งรายงานให้กับผู้ตรวจสอบภายนอก เพื่อตรวจสอบข้อมูลในแง่ของความตรงประเด็น ความสมบูรณ์ ความไม่ขัดแย้งกัน ความถูกต้องและความโปร่งใส หลังจากผ่านการทวนสอบแล้ว ผู้ตรวจสอบจะออกรายงานการตรวจสอบ รายงานการทวนสอบ และถ้อยแถลงส่งมาที่ TGO โดยในส่วนของธุรกิจจะมีหน้าที่กรอกใบสมัครขอขึ้นทะเบียน “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” เท่านั้น

7. การขึ้นทะเบียน

TGO พิจารณาอนุมัติขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยออกเป็น Certificate เพื่อรับรองว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรในแต่ละ Scope พร้อมนำข้อมูลที่ผ่านการขึ้นทะเบียนไปประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ให้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 1,000 องค์กรที่ขึ้นทะเบียน CFO แล้ว

สิ่งที่ท้าทายขณะนี้คือ ผู้ประกอบการต้องเตรียมจัดทำ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” โดยเริ่มเก็บข้อมูลกิจกรรมเป็นเชิงตัวเลข หากอยู่ในซัพพลายเชนของบริษัทใหญ่ ก็ต้องเตรียมข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไว้สำหรับนำไปประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะหากองค์กรยังไม่มี ธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ หรือหากมีแล้ว แต่คู่แข่งมีค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำกว่า ธุรกิจก็อาจเสียโอกาสทางการแข่งขันได้

นอกจากนี้ เมื่อรู้ว่าส่วนใดในองค์กรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ก็ต้องบริหารจัดการให้ลดลงด้วย เช่น วางแผนซ่อมบำรุง ปรับเทคโนโลยี เปลี่ยนอุปกรณ์ ส่วนที่ลดไม่ได้ก็ชดเชยด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER (โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย) ซึ่งการชดเชยถือเป็น CSR รูปแบบใหม่ และทำให้ภาพรวมของประเทศมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงด้วย

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

“ธีระชัย” สับเก็บภาษีแวต ธุรกิจมีรายได้ต่ำ 1.8 ล้านบาท

“ธีระชัย” สับเก็บภาษีแวต ธุรกิจมีรายได้ต่ำ 1.8 ล้านบาท ชี้สกัดสร้างโอกาสธุรกิจหน้าใหม่ แนะ รมว.คลัง อย่าใช้หลักบัญชีคิดแก้ปัญหาเพิ่มเงินในหีบชาติ

บมจ.ไรเดอร์อินชัวรันส์โบรกเกอร์ คว้ารางวัล “TOP GROWTH” 

บมจ.ไรเดอร์อินชัวรันส์โบรกเกอร์ คว้ารางวัล “TOP GROWTH” จากบริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) 

Kubix จับมือ D3 Labs ขยายช่องทางการลงทุนในโทเคน

Kubix จับมือ D3 Labs ประกาศความร่วมมือศึกษาการขยายช่องทางการลงทุนในโทเคนดิจิทัลสัญชาติไทยสู่ตลาดนักลงทุนต่างชาติ

สำนักงาน คปภ. เปิดตัวแอนิเมชัน “ขบวนการ OK Ranger”

สำนักงาน คปภ. เปิดตัวแอนิเมชัน “ขบวนการ OK Ranger” เรียนรู้-ระวัง-ป้องกัน ความเสี่ยงภัยใกล้ตัว สำหรับเด็กปฐมวัย