นายชัย วัชรงค์ เปิดเผยว่าเพื่อให้เกิดการฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ เต็มศักยภาพของประเทศ รัฐบาล จำเป็นต้องดำเนินนโยบาย Digital Wallet โดยได้กล่าวอ้างถึง 5 เหตุผล ตามที่นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ ดังนี้
1. เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด – 19 เศรษฐกิจไทยขยายตัวขยายตัวได้เพียง 3.6 % ในช่วงปี 2553 – 2562
2. เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ามาก ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นตัวที่เติบโตต่ำ
3. การลงทุนของไทยอยู่ในระดับต่ำ และต่ำกว่าหลายประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2553 – 2562 สัดส่วการลงทุนต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ 23.6% เท่านั้น ต่ำกว่าการลงทุนในหลายประเทศ
4. อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพิ่มจาก 70% ต่อ GDP มาอยู่ที่ 91.6% ต่อ GDP ทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อและมีแรงกดดันเรื่องหนี้ครัวเรือนสูง
5. วิกฤตเรื่องการขาดสภาพคล่อง (liquidity Crisis) ในตลาดเงินและตลาดทุน เห็นได้จากการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินลดลงต่อเนื่อง รวมทั้งการระดมทุนผ่านตลาดทุนก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า พร้อมกันนี้ ถึงแม้ว่ารัฐบาลได้เดินหน้าทุกเครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ฟื้นระบบ-สร้างบรรยากาศลงทุน ใช้เครื่องมือด้านการค้า FTA นำเสนอLandbridge โครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท และเชิญชวนการลงทุนด้านเทคโนโลยี Data Center ซึ่งจากการวิเคราะห์ แล้วรัฐบาลมีเหตุผลเพียงพอที่จะสนับสนุนความจำเป็นในการผลักดันโครงการ Digital Wallet โดยรัฐบาลเชื่อว่า เมื่อเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มสูบแล้ว ทำให้เกิดสภาพคล่อง สร้างความสามารถในการใช้จ่าย ปั๊มเงินลงระบบจะทำให้เกิดการกระตุกทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ
“รัฐบาลได้วิเคราะห์ปัญหาทางเศรษฐกิจ กำหนดวางแนวทางการแก้ไขเพื่อให้เกิดความคล่องในการใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ เกิดแรงจูงใจในการผลิต การลงทุน เพื่อให้เกิดการกระตุกปั๊มแรงขับเคลื่อนในระบบเศรษฐกิจ และเป็นนโยบายที่รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจำเป็นในสภาพเศรษฐกิจเติบโตช้า ฟื้นตัวช้า ก่อนสภาพเศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้าเรื้อรัง” นายชัย กล่าว