นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด หรือ WAVE BCG เปิดเผยถึงความจำเป็นในการร่วมตระหนักและให้ความสำคัญกับวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและของโลก
ในอีกทั้งประเทศไทยมีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ปี 2050) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG emission) ภายในปี พ.ศ.2608 (ปี 2065)
ประเทศไทยได้มีการพัฒนาแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 โดยตั้งใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% จากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรณีปกติ ภายในปี พ.ศ. 2573 (222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ระดับของการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถเพิ่มขึ้นถึง 40% ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงกลไกการสนับสนุนทางการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอ
ภายใต้กรอบข้อตกลงใหม่ ภายใต้ UNFCCC โดยอ้างอิงข้อมูลจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรณีที่ไม่มีการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกใดๆ (Business As Usual: BAU) ที่ 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเหลือสุทธิอยู่ที่ 333 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี พ.ศ. 2573
จากความมุ่งมั่นและความพยายามในระดับสากล ทำให้อุปสงค์และอุปทานของเครื่องมือหรือกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกทั้งคาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) และใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates) นั้นมีแนวโน้มเติบโตและมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีกตามความต้องการชดเชยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของภาคเอกชนในแต่ละประเทศ
บริษัทฯ WAVE BCG เห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และต้องการสนับสนุนให้ภาคเอกชนในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจในระดับสากล นอกจากนี้ การเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนของประเทศก็เป็นปัจจัยสำคัญทั้งในการสนับสนุนให้ประเทศบรรลุเป้าหมายตามที่ประกาศในการประชุม COP26 และเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) เนื่องจากบริษัทชั้นนำของโลกต่างประกาศเป้าหมายในการเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดอย่างชัดเจน จึงมีความต้องการที่จะลงทุนหรือตั้งฐานการผลิตในประเทศที่มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่สูงและมีเสถียรภาพเพียงพอต่อการดำเนินงานขององค์กรเหล่านั้นได้
เป้าหมายสำคัญ คือ การขับเคลื่อนให้บริษัทหรือองค์กรมีความเข้าใจในการใช้ใบรับรองพลังงานหมุนเวียนได้อย่างถูกต้อง และเพื่อปลดล็อคการใช้ใบรับรองพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย ผ่านงานเสวนา “RECs Talk 2024 – Unlocking Potential: I-RECs In Thailand”
โดยมีวิทยากรตัวแทนจากองค์กรชั้นนำที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ I-REC และหน่วยงานระดับนานาชาติ อาทิ ดร.พิรุณสัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงแนวทางของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, คุณ Roble Poe Velasco-Rosenheim, The Regional Director of Southeast Asia, The International REC Standard (I-REC) ตัวแทนจากหน่วยรับรองระดับโลก
สำหรับการให้แนวโน้มและทิศทางของโลกต่อใบรับรองพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในตลาดใบรับรองพลังงานหมุนเวียน, คุณนทีสิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคุณอาทิตย์เวชกิจ กรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) ร่วมเน้นย้ำและให้ความสำคัญด้านพลังงานทดแทนในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,
ดร.ศรพลตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน,
คุณ Samuel Low, Head of Origination, REDEX นำเสนอและยกตัวอย่างโครงการ I-REC ที่ประสบความสำเร็จในเอเชีย และคุณชัพมนต์จันทรพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุปเปอร์ คาร์บอน เอ็กซ์ จำกัด นำเสนอโครงการที่ประสบความสำเร็จในการนำ I-REC มาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เป็นต้น
และตัวแทนจากองค์กรชั้นนำอีกหลากหลาย ดังนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, SCBX, TokenX และ บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) งานจัดขึ้นในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 8.30-16.30 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ กรุงเทพมหานคร