ไทยเสี่ยงถูกลด เครดิตเรตติง จาก BBB+ หรือไม่

Date:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC   ประเมินว่า ปัจจุบันอันดับเครดิตเรตติงของประเทศไทยอยู่ที่ BBB+ มุมมองมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตเรตติงของไทยอยู่ที่ BBB+ มุมมอง Stable outlook โดย Fitch ประเมิน ณ 13 พ.ย. 2023 ว่าไทยมีจุดแข็งด้านต่างประเทศ (ทุนสำรองระหว่างประเทศสูง หนี้ต่างประเทศต่ำ) กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคน่าเชื่อถือ โครงสร้างหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาวและกู้ในประเทศ แต่จุดอ่อนไทย คือ มิติเชิงโครงสร้าง (รายได้ต่อหัวต่ำ โครงสร้างประชากรไม่เอื้อ) มิติเศรษฐกิจมหภาค (หนี้ภาคเอกชนสูง) และมิติการคลัง (หนี้ภาครัฐและขาดดุลการคลังสูงขึ้นมาก) โดยไทยอาจได้ปรับเพิ่มอันดับก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้นในระยะปานกลาง โดยไม่กระตุ้นให้หนี้ภาคเอกชนเพิ่มมากเกินไป หรือรัฐบาลสามารถลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐต่อ GDP ลงได้ ขณะเดียวกัน ไทยอาจถูกปรับลดอันดับได้ หากไม่สามารถคุมให้สัดส่วนหนี้ภาครัฐต่อ GDP มีเสถียรภาพได้ หรือหากความไม่สงบทางการเมืองเพิ่มขึ้นจนกระทบประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายภาครัฐและการขยายตัวของเศรษฐกิจ 

ไทยมีความเสี่ยงจากการถูกปรับลดเครดิตเรตติง

SCB EIC ประเมินว่า จุดอ่อนและความเสี่ยงของอันดับเครดิตเรตติงไทยน่ากังวลขึ้นในหลายประเด็น โดยเฉพาะ

1) ความยั่งยืนของหนี้ภาครัฐ เนื่องจากวินัยการคลังไทยไม่เข้มแข็งเช่นเดิม และการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มสูงขึ้นแผนการขาดดุลงบประมาณในระยะปานกลางยังสูงกว่าระดับปกติ (ต่ำกว่า 3% ของ GDP) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยจึงยังมีทิศทางเพิ่มขึ้น แตกต่างจาก Peers ที่สามารถปรับลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐลงมาได้หลังโควิด

2) เสถียรภาพการเมืองและธรรมาภิบาล แม้ความเสี่ยงด้านสถานการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรงของไทยลดลงมากในระยะหลัง แต่ประเด็นทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจส่งผลกระทบต่อการปรับอันดับดัชนีธรรมาภิบาลของไทย ซึ่ง Fitch ใช้เป็นดัชนีอ้างอิงในการประเมินเครดิตเรตติงประเทศ

และ 3) อัตราการเติบโตและศักยภาพของเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าภาพที่ Fitch ประเมินไว้เดิมค่อนข้างมาก จากปัญหาเศรษฐกิจไทยฟื้นช้า โตต่ำ และปัญหาเชิงโครงสร้างฉุดรั้งศักยภาพหลายด้าน

เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบผ่านหลายช่องทาง

หากประเทศถูกลดอันดับเครดิตเรตติงจะทำให้ภาครัฐมีต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น จนทำให้ภาครัฐต้องขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเพื่อชำระดอกเบี้ยจ่ายหรือลดเม็ดเงินลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลง ซ้ำเติมปัญหาด้านการคลังและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ ต้นทุนกู้ยืมของภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นและเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติงลงเช่นเดียวกัน กดดันการลงทุนในประเทศ และเศรษฐกิจในภาพรวม  

ความเสี่ยงเครดิตเรตติงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรระมัดระวังแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน

SCB EIC เสนอแนวทางลดความเสี่ยง 4 ด้าน ได้แก่

1. จัดทำแผนปฏิรูปการคลัง ผ่านการจัดสรรงบประมาณให้คุ้มค่า ลดรายจ่ายไม่จำเป็น และปฏิรูปภาษีในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อควบคุมให้หนี้สาธารณะยั่งยืนขึ้น

2. ออกแบบกลไกติดตามวินัยการคลัง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม

3. ปรับโครงสร้างการผลิตและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้ในตลาดโลก

4. เน้นการเติบโตเชิงคุณภาพของเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น ได้แก่ ความทั่วถึงเท่าเทียม (Inclusiveness) ความยั่งยืนสิ่งแวดล้อม (Sustainability) นวัตกรรม (Innovation) และความล้มยากลุกเร็ว (Resiliency) ซึ่งนอกจากจะช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้พร้อมรับมือบริบทโลกและมีส่วนช่วยยกระดับคะแนนด้าน ESG ของไทยแล้ว ยังจะส่งผลกลับมาช่วยให้ตัวเลขการเติบโตเชิงปริมาณของเศรษฐกิจหรือ “GDP” สูงขึ้นอีกทาง นับเป็นปัจจัยบวกต่อการพิจารณาอันดับและมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในระยะข้างหน้า

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

ฝากรัฐบาล ถกหาทางออก ร่าง กม.นิรโทษกรรม

“ธนกร” ฝากวงดินเนอร์พรรคร่วม 21 ต.ค.ถกหาทางออกเหมาะสม ร่างกม.นิรโทษกรรม หลังทุกพรรคค้านไม่เหมาเข่งคดีม.112 มอง รัฐบาลควรลดความเสี่ยง

ยุบพรรค กับพรรคร่วมแตกอะไรมาก่อนกัน

ยุบพรรคเพื่อไทยกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของรัฐบาล อะไรจะมาถึงก่อนกัน ระหว่างนางสาวแพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ

“นภินทร” ลงพื้นที่ พบสินค้าลดราคาขายเพียบ

“นภินทร” ลงพื้นที่ห้างท้องถิ่น สหแสงชัย พบลดราคาขายเพียบ ชาวบ้านชอบ ลดค่าครองชีพได้จริง

ธอส. ร่วมกับ เสนาฯ MOU โครงการบ้าน ธอส.

ธอส. ร่วมกับ เสนาฯ MOU โครงการบ้าน ธอส. สนับสนุนคนไทยสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมยื่นขอสินเชื่อบ้านกับ ธอส.