
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้เผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่างๆ มากมาย เศรษฐกิจยังไม่มีเงินในระบบ ยังฝืดเคือง แต่มีสัญญาณที่ดีมาในปลายปีที่แล้วเศรษฐกิจมีตัวเลขจีดีพี ปี 2567 ขยายตัวขึ้น 2.5% มากกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 2% จากปี 2566 การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเกิดผล การบริโภคภายในขยายตัว ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่า และความเชื่อมั่นในการดูแลนักท่องเที่ยว
ในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้จีดีพีเติบโตขึ้นที่ 3% โดยที่แรงขับเคลื่อนที่สำคัญ คือการลงทุนของภาคเอกชน การใช้จ่ายของประชาชน และภาครัฐต้องขับเคลื่อนงบลงทุน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิตไทย อุตสาหกรรมไทยไม่ได้พัฒนามาหลายปี สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจหลายอย่างไม่เพียงพอธนาคารยังปล่อยกู้ไม่มากพอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ส่งผลให้เกิดการฝึดเคืองทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ถือเป็น 75% ของประเทศ หากกลุ่มนี้ยังไม่มีสินเชื่อมาพัฒนาเศรษฐกิจของเขา ก็จะยังไม่มีการพัฒนาและขยายตัว ก็ต้องขอความช่วยเหลือช่วยกันทุกภาค
นอกจากนี้เงินงบประมาณของรัฐยังไม่เพียงพอและจะถูกใช้ไปกับรายจ่ายประจำ ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลา ต้องมีมาตรการและมาตรการเร่งด่วน รัฐบาลได้พูดคุยและอยากจะขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่มีกำไรเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องด้วยการปล่อยกู้ให้กับคนไทยให้มีสภาพคล่องให้การพัฒนาธุรกิจของตัวเอง และขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้เพราะเงินเฟ้อยังน้อยอยู่
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินต่างๆออกมา นอกจากนี้รัฐบาลจะผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ หลังจากนี้ในฐานะนายกฯ ของประเทศ จะเดินสายต่อเพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา ทำให้จีดีพีของประเทศ ความเป็นอยู่ของประชาชน ค่อยๆ ดีขึ้น ขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่น มีกำลังใจว่ารัฐบาลเห็นทุกปัญหาของทุกพื้นที่ และพร้อมสนับสนุนประชาชนและภาคเอกชนอย่างเต็มที่