
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า
เจรจาภาษีทรัมป์: แบบฉลาด vs แบบโง่
มีข่าว 2 ชิ้น ที่แสดงทางสองแพร่งในการเจรจาภาษีทรัมป์
**ทางแพร่งลงเหว
[นายกฯ ไทยแถลงว่า รัฐบาลได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายต่าง ๆ เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในด้านพลังงานอากาศยาน และ สินค้าเกษตร
นอกจากนี้ ประเทศไทยจะมีการเจรจาเรื่อง
1) การส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
2) ลดเงื่อนไขการนำเข้าที่เป็นอุปสรรค
3) ปราบปรามการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังสหรัฐฯ]
ขออภัยที่ผมต้องวิจารณ์ว่า แนวทางเจรจาแบบนี้ ไม่ใช่แบบฉลาด
+หนึ่ง ศูนย์กลางค้าโลกกำลังจะเปลี่ยน
เมื่อทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีจีน 54% และจีนโต้กลับ 54% เท่ากัน ทรัมป์ติดกับดักของตัวเองอย่างจัง เพราะจะกลับไปลดฝ่ายเดียวไม่ได้
จีนเป็นเศรษฐกิจอันดับสองของโลก แต่ละปีนำเข้าสินค้า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ กำแพงภาษีจีน ต่อไปจะเปลี่ยนแหล่งซื้อ จากสหรัฐไปเป็นประเทศอื่นๆ
ถึงแม้จีนจะขายให้สหรัฐได้น้อยลง แต่ยิ่งถ้าหากยุโรปโต้กลับ 30% ด้วย ศูนย์กลางค้าโลก กำลังจะเปลี่ยนไปหมุนเวียนรอบจีน
สอง ปฏิกิริยาคนอเมริกัน
ถึงแม้กำแพงภาษีสหรัฐ จะทำให้สินค้าจีนแพงขึ้น แต่ในห้วงเวลา 1-2 ปีข้างหน้า ชาวบ้านสหรัฐก็ยังจะต้องซื้อสินค้า consumer จากจีน
ราคาขายปลีกในสหรัฐจะแพงขึ้นฉันพลัน ภายในอีกไม่กี่เดือน
คนอเมริกันมองได้ง่ายว่า กำลังจะเดือดร้อน จึงเริ่มประท้วงกว้างขวาง
สาม ข้อตกลงภูมิภาคจะสำคัญมากขึ้น
การค้าที่หมุนเวียนรอบสหรัฐน้อยลง จะทำให้ข้อตกลงภูมิภาค มีความสำคัญมากขึ้น
ทุกภูมิภาคจะเร่งมือ เคลียร์ปัญหาอุปสรรคในการค้าต่อกัน โดยเฉพาะด้านระบบการขนส่ง ระบบการชำระเงินที่ต้องออกไปนอกกรอบดอลลาร์ และระบบศุลกากร
สี่ รัฐบาลไม่มีเงินจะไปทุ่มซื้อสินค้าสหรัฐ
สินค้าสหรัฐ ที่ไทยควรสนใจ มีอย่างเดียว คือ พลังงาน ไม่ว่าน้ำมัน หรือก๊าซ LNG ถ้าราคาไม่แพงกว่าตลาดโลก
การกระจายแหล่งซื้อ ออกจากตะวันออกกลาง จะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาที่มีแนวโน้มกำลังจะปะทุขึ้น ระหว่างอิสราเอล/สหรัฐกับอิหร่าน
ส่วนแนวเจรจาที่จะซื้อเครื่องบินโบอิ้ง สินค้าเกษตร นั้น ถามว่ารัฐบาลจะซื้อมา เพื่อขายให้ใคร และจะเอาแหล่งเงินมาจากไหน
แนวการเจรจากับสหรัฐ ที่สัญญาว่าจะซื้อสินค้ามากมายมหาศาลนั้น เป็นหมากหลักที่จีนใช้มาตลอด แต่สหรัฐก็ไม่ได้โง่
จีนมีอิทธิพลสั่งรัฐวิสาหกิจ และแม้แต่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ให้ซื้อสินค้าสหรัฐมากขึ้นได้ แต่รัฐบาลไทยไม่สามารถเลียนแบบ
ส่วนความคิดที่จะส่งเสริมให้บริษัทเอกชนไทย ไปลงทุนในสหรัฐนั้น ก็เป็นเพียงฝันกลางวัน
เอาแค่กระตุ้นให้เอกชนขยายการลงทุนในไทย รัฐบาลนี้ยังไม่มีปัญญาเลย อย่าเพิ่งมองจะใช้เป็นอาวุธเจรจา
ห้า ปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า
นายกฯ รีบยกประเด็น การสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังสหรัฐฯ ทั้งที่ทรัมป์ยังไม่ได้ตั้งประเด็นนี้
ผู้เจรจาความเมือง จะต้องไม่รีบเร่งหยิบยกประเด็นปัญหาของตัวเอง ยกขึ้นเป็นการรายงานสารภาพแก่คู่เจรจา
แต่ควรเริ่มเจรจาว่า ถ้าหากไทย-สหรัฐสามารถมีข้อตกลงกันได้ ก็จะต้องขอให้ครอบคลุมทุกกิจการที่เข้ามาลงทุนในไทย
ตราบใดที่เป็นไปตามกติกาและนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย
กล่าวคือ จะต้องครอบคลุม ไม่ว่าผู้ลงทุนจะเป็นสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือประเทศอื่นๆ
**ทางแพร่งปลอดภัย
อีกข่าวหนึ่ง [นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนระบุว่า
วันนี้ได้โทรศัพท์ถึงผู้นำ อินโดนีเชีย, ฟิลิปปินส์, บรูไนดารสซาลาม, และสิงคโปร์
เพื่อประสานการตอบโต้ร่วมกัน โดยต้องการให้เกิดความเห็นพ้องต้องกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ในการสร้างหลักการความยุติธรรม และความเท่าเทียมในการเจรจา]
นี่เป็นหมากรุกการเมืองโลก ที่ชาญฉลาด เน้นการเป็นปึกแผ่น การมัดรวมกันเป็นฟ่อนที่แข็งแรง
สังเกตได้ว่า เขาไม่ได้โทรศัพท์ถึงเวียดนาม กัมพูชา และไทย
เพราะเวียดนามรีบประกาศลดภาษีสหรัฐลงเหลือศูนย์ กัมพูชาลดลงจาก 35% เหลือ 5% ส่วนนายกฯ ไทย แสดงท่าทีจะเจรจาเองเป็นหลัก
ทำตัวเป็นผู้ชาญฉลาด ยืนหัวแถว แทนที่จะไปยืนท้ายแถวของอาเซียน หลบสายตาไว้ก่อน
หมากรุกเกมนี้ ผู้ที่แสดงจุดยืน พร้อมจะเจรจา ถือว่าเดินหมากถูกต้อง
เพราะเป็นการให้หน้าทรัมป์ ยืนยันว่าใน 185 ประเทศ ส่วนใหญ่จะหมอบเจรจา
แต่ผู้ที่โพล่งเปิดไพ่ แสดงความกล้าหาญล้ำหน้าอาเซียน เป็นการเดินหมากรุกเข้ามุมอับ