
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการเจรจานโยบายการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยให้ข้อมูลแนวทางการเจรจา และยุทธศาสตร์ที่เตรียมไว้ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากความสามารถในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของประเทศ ว่า วัตถุประสงค์หลัก การปรับเพิ่มภาษีของสหรัฐอเมริกามี 3 ข้อ คือ 1. เพื่อลดการถูกเอาเปรียบ จากการขาดดุลทางการค้า และสร้างสมดุลทางการค้าให้กับสหรัฐอเมริกา 2. เพื่อนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษี ไปลดภาระการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ เพื่อขยายเวลาการลดภาษีให้คนรวยในสหรัฐฯ และ 3. เพื่อดึงผู้ประกอบการและกลุ่มบริษัทของสหรัฐฯ ให้ย้ายฐานการผลิตกลับไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า ดังนั้น การดำเนินการรีบเร่งเจรจาเหมือนประเทศอื่นๆ อาจไม่ส่งผลดีกับประเทศนั้นๆนัก เนื่องจากไม่สามารถทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของแนวทางการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ อาทิ ประเทศแคนาดาและเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ แม้ว่าทั้ง 2 ประเทศได้เร่งดำเนินการเจรจาไปก่อนหน้า หรือแม้แต่สหราชอาณาจักร ที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่สุดท้ายทุกประเทศที่ไปเจรจากลับถูกขึ้นภาษีเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลเตรียมไว้ คือ การคิดแผนยุทธศาสตร์และมาตรการรองรับ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจา
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทย โดยการดำเนินการของคณะทำงาน ได้จัดเตรียมแผนยุทธศาสตร์และมาตรการรองรับไว้แล้ว โดยมียุทธศาสตร์สำคัญคือ การปรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและระบบการค้า ผ่านการใช้จุดแข็งของทั้ง 2 ประเทศ อาทิ การนำเข้าสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ ที่ผลิตได้มากกว่าการบริโภคภายในประเทศถึง 20% มาแปรรูปเป็นอาหาร โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการแปรรูปอาหารของประเทศไทย เพื่อส่งออกขายไปทั่วโลก ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะถูกดำเนินการผ่านการสร้างพันธมิตรกับมลรัฐ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภาคการเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ฯ ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ และดำเนินการมาตรการอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การเร่งปราบปรามการสวมสิทธิ์สินค้าจากประเทศ อื่นๆ เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการเปิดการนำเข้าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นปัจจัยการผลิตและประเทศเราผลิตไม่เพียงพอ รวมถึงสินค้ากลุ่มพลังงานเพิ่มเติม ตลอดจนการเพิ่มการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ โดยการดำเนินการดังกล่าวทั้งหมด เป็นไปเพื่อลดภาวะขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และเปิดบันไดทางลงให้กับสหรัฐฯ เมื่อมาตรการขึ้นภาษีได้ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าที่คาดการณ์
นายศุภวุฒิ ยังกล่าวถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯว่า รัฐบาลได้เตรียมมาตรการเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือการดำเนินการของผู้ประกอบการในระยะสั้น และเตรียมเงินทุนสำหรับใช้ในการให้ผู้ประกอบการไทยหาตลาดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการส่งออกไปสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มาตรการเหล่านี้ จะช่วยผู้ประกอบการไทย สามารถปรับตัวได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นายศุภวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นตามขั้นตอนการเจรจา โดยขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมการลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ภายใต้หลักการที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ และประเทศไทยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม สำหรับกระบวนการเจรจาต่อรองดังกล่าว ต้องเจรจาในรายละเอียดในระดับเจ้าหน้าที่ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันก่อน ยกเว้นสินค้าที่มีปัญหาที่จะต้องเป็นการเจรจาในระดับรัฐมนตรี ดังนั้น ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องให้หัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งคือ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อทำการเจรจา ก่อนที่จะมีการเจรจารอบสุดท้ายเพื่อแก้ไขปัญหาในส่วนค้าสินค้าที่ยังตกลงกันไม่ได้ อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ สำหรับการเจรจาการค้าของสหรัฐอเมริกา
“ประเทศเล็กอย่างเรา ต้องหาอํานาจต่อรอง และต้องสร้างแนวร่วมที่อเมริกา ซึ่งนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ประเมินแล้วว่าต้องไปทางนี้กับมลรัฐเกษตรของอเมริกา และมันก็เป็นการตอบสนองผลประโยชน์ของเราด้วยว่า เราต้องการจะเป็นผู้แปรรูปอาหารคุณภาพดีไปทั่วโลก ก็ใช้ทรัพยากรที่ดีที่สุดของอเมริกา ขายอะไรให้เรา เราก็จะซื้ออันนั้น ตามความต้องการของเราที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยแนวคิดอันนี้” นายศุภวุฒิ กล่าว