
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Moody’s ได้รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยได้คงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 และปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก (External Risks) โดยเฉพาะความไม่แน่นอน (Uncertainty) ที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลก (Global) และภูมิภาค (Regional) รวมถึงส่งผลกระทบทางอ้อมมายังเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ารวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลไทย แม้จะยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาและความรุนแรงได้อย่างชัดเจน แต่ความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่มีการปรับลดอัตราการเจริญเติบโตในปี 2568 จาก 3.3% เป็น 2.8% (ที่มา: กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ เดือนเมษายน 2568) ทำให้ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับ Negative Outlook จากปัจจัยดังกล่าว แต่ยังมีประเทศอื่นที่ถูกปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศ (Outlook) เช่นกัน สำหรับประเทศอื่นที่ถูกปรับลดมุมมองไปก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2566 – 2567 เป็นผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งด้านการค้า สะท้อนถึงแนวโน้มความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ทั้งนี้ Moody’s มีความเห็นเกี่ยวกับฐานะการเงินต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจไทย ภาคการคลัง และความท้าทายเชิงโครงสร้างของประเทศไทย ดังนี้
1) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance): ประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งและมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง (ณ เดือนมีนาคม 2568 มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 215,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
2) เสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability): โครงสร้างสถาบันและธรรมาภิบาลของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งสนับสนุนให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ ประเทศไทยมีประวัติความสำเร็จในการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถบริหารหนี้ให้อยู่ในระดับที่รับได้ แม้ว่าภาระหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศที่มีความพร้อม สามารถรองรับการระดมทุนของภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมีหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท และมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ค่อนข้างยาว ซึ่งถือเป็นโครงสร้างหนี้ที่เอื้อต่อการบริหารจัดการภาระหนี้
3) ภาวะเศรษฐกิจไทย (Economic Condition): การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยยังช้ากว่าประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน (Peers) นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) และเศรษฐกิจไทยยังคงมีความอ่อนไหวต่อการรองรับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Economic Shock) อาทิ การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนในระดับสูง
4) ภาคการคลัง (Fiscal Position): แม้รัฐบาลไทยจะดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การประกาศใช้ภาษีศุลกากรและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลก บั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และกระทบโดยตรงต่อประเทศเศรษฐกิจเปิดอย่างไทย สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้กระบวนการเข้าสู่ความสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ของไทยล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework: MTFF) ที่ได้จัดทำไว้ก่อนหน้า
5) ความท้าทายเชิงโครงสร้าง (Structural Challenges): ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเติบโตของผลิตภาพการผลิต (Productivity Growth) ที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ขอให้ข้อมูลและข้อเท็จจริง ดังนี้
• แนวทางการรองรับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์: ประเทศไทยกำลังดำเนินการเจรจาเพื่อรองรับต่อมาตรการดังกล่าวที่อาจส่งผลกระทบทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว อาทิ การลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกา และการรองรับผลกระทบจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐอเมริกาในการหาตลาดทดแทนซึ่งรวมถึงประเทศไทย โดยจะดำเนินการกำหนดมาตรฐานของสินค้าและควบคุมการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า ตลอดจนเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่นเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
• ภาคการคลัง: เศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ภาษีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้แผนการเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) มีความล่าช้า อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้วางแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ของภาครัฐ ลดภาระทางการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว รวมถึงเพิ่มพื้นที่ทางการคลังในการรองรับเหตุการณ์ผันผวนในอนาคตได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังคงมีสถาบันเศรษฐกิจและธรรมาภิบาลที่มีความแข็งแกร่งในระดับปานกลางถึงสูง มีความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังอย่างรอบคอบ มีการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีวินัย ซึ่งสะท้อนจากหนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดเป็นสกุลเงินบาท ทำให้ไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และการที่มีตลาดทุนภายในประเทศที่สามารถรองรับความต้องการกู้เงินได้อย่างเพียงพอ
• ภาคการลงทุน: ประเทศไทยยังคงสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) โดยตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 มีมูลค่ากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด้านคมนาคม สาธารณูปโภค และพลังงานที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)
• ภาคการท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 เหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลกระทบระยะสั้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
สบน. ในนามกระทรวงการคลังขอเน้นย้ำว่า รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีแผนการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐ และแผนเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ระยะปานกลาง กำลังถูกเร่งดำเนินการ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานความแข็งแกร่งทั้งจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ภาคการส่งออกที่หลากหลาย และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การปรับมุมมอง Outlook ในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคหรือเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ด้วยนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีความยืดหยุ่น และความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว ทั้งนี้ สบน. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและฐานะทางเครดิตของประเทศให้มีความมั่นคงในระยะยาวต่อไป