การบินไทย ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 กำไรสุทธิ 12,134 ล้านบาท 

Date:

การบินไทย

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“บริษัทฯ”) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 43,981 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางที่เป็นที่นิยมเช่น เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และเดนปาซาร์ เป็นต้น ส่งผลให้มีผู้โดยสารรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เป็นจำนวน 3.97 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.2% และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 77.0% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73.2% จากการปรับเครือข่ายเส้นทางบินที่เหมาะสมเพื่อรองรับปริมาณความต้องการการเดินทางของผู้โดยสารที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างพันธมิตรผ่านการทำรหัสเที่ยวบินร่วม (Codeshare)

บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 34,648 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% โดยหลักมาจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่ลดลงตามราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับตัวลง ถึงแม้ว่าปริมาณการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงอากาศยาน และค่าใช้จ่ายอื่นที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 10,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 5,925 ล้านบาท และมีอัตรากำไร (EBIT Margin) อยู่ที่ 22.7% 

บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 3,392 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,404 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 5,347 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากรายการปรับปรุงทางบัญชีจากการเปลี่ยนสัญญาจากเช่าเป็นซื้อเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 4 ลำ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 12,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท และมี EBITDA 13,408 ล้านบาท 

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 78 ลำ สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 96,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 7.2% มีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 13.6 ชั่วโมง/ลำ/วัน มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เท่ากับ 35,281 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.2% มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เท่ากับ 28,297 ล้านคน-กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 18.3% มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 80.2 % สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 78.1% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวม 8.30 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.62 ล้านคน หรือคิดเป็น 8.1%

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่าย (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 71,863 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.5% มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 24,589 ล้านบาท มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 6,873 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 4,259 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 21,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 702.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,738 ล้านบาท และมี EBITDA 30,887 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 297,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 5,183 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 230,134 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 16,785 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ 67,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 21,968 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด  และสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 จำนวน 120,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,021 ล้านบาท จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการนำหุ้น THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งได้พลิกโฉมองค์กรสู่การเป็นบริษัทเอกชนที่พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยมีความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่องและชัดเจน โดยตลอดระยะเวลา 4 วันทำการที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หุ้น THAI มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 4,400 ล้านบาทต่อวัน โดยในวันที่ 7 สิงหาคม หุ้น THAI มีราคาปิดอยู่ที่ 13.40 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27.6% จากราคาเปิดที่ 10.50 บาท เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 379,264 ล้านบาท นับเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดลำดับที่ 11 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

การกลับเข้าซื้อขายครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญ ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ พร้อมต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับการดำเนินงาน คุณภาพการให้บริการ ควบคู่กับการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลสูงสุด ทะยานสู่บทบาทหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาค และก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

GPSC กำไรครึ่งปี 3,159 ล้านบาท 

GPSC กำไรครึ่งปี 3,159 ล้านบาท รับส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมพุ่ง พร้อมเดินหน้าลงทุนพื้นที่ศักยภาพ

เชฟรอน ร่วมกับ CEA เชิญชวนสัมผัสเสน่ห์ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด

เชฟรอน ร่วมกับ CEA เชิญชวนสัมผัสเสน่ห์ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด ใน “เทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568” วันที่ 28 สิงหาคม – 7 กันยายนนี้

บางจากฯ ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 

บางจากฯ ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รักษาเสถียรภาพท่ามกลางราคาน้ำมันผันผวน ได้รับเลือกเข้าดัชนี SET50 และติดอันดับ 17 ใน Fortune Southeast Asia 500

กบข. นำสิ่งของจำเป็นมอบให้กองทัพภาค 2 ร่วมส่งใจไปชายแดน

กบข. ปันน้ำใจ นำสิ่งของจำเป็นมอบให้กองทัพภาค 2 ร่วมส่งใจไปชายแดน