“พิชัย” รับข้อเสนอเอกชน ชะลอขึ้นค่าแรง 400 บาท

Date:

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง เปิดเผยภายหลังหารือกับ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและคณะ ที่เดินทางเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา กรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดน ไทย-กัมพูชา ว่า  รัฐบาลได้รับข้อเสนอมาตรการเยียวยาผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนของภาคเอกชน เพื่อรวบรวมออกเป็นมาตรการมารองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น เบื้องต้นในปัญหาด้านแรงงานและการจ้างงาน รวมถึงการฟื้นฟูธุรกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เช่น การดึงงานสัมมนาไปจัดในพื้นที่และมีสิทธิพิเศษทางด้านภาษี

นายพิชัย กล่าวว่า ในส่วนข้อเสนอด้านแรงงานและการจ้างงานนั้น จะนัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะบริหารจัดการแรงงานอย่างไร ทั้งแรงงานที่อยู่ในประเทศ แรงงานที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วจะให้ทำงานต่อได้หรือไม่ หรือแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตก็ต้องดึงมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง รวมถึงการจัดหาแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เช่น แรงงานบังกลาเทศ เป็นต้น ส่วนมาตรการช่วยเหลือทางด้านภาษี ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติมาตรการภาษีไปแล้วหลายรายการ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาษี สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับการยืดระยะเวลา การชะลอการจัดเก็บภาษีต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้เร่งออกมาช่วยเหลือ  ส่วนมาตรการทางการเงิน ขณะนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีมาตรการออกมาช่วยเหลือหลายอย่าง เหลือเพียงธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลจะประสานธนาคารต่าง ๆ มาหารือเพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือออกมาอีกครั้ง

นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลได้รับทราบผลกระทบจากภาคธุรกิจ ซึ่งทางหอการค้าได้รวบรวมจากทุกคนที่ได้รับผลกระทบมายื่นให้รัฐบาลพิจารณา จากนี้จะดูเป็นเรื่อง ๆ เป็นกลุ่มธุรกิจ เพื่อพิจารณาว่าใครได้รับผลกระทบเรื่องอะไร และคงต้องดูทางฝ่ายความมั่นคงประเมินด้วยว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะเป็นอย่างไร จะได้เร่งขั้นตอนการฟื้นฟู

ด้านนายพจน์ เปิดเผยว่า ขอยื่นข้อเสนอที่รวบรวมจากเอกชนเพื่อเร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ทั้ง 7 จังหวัด ใน  4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย มาตรการทางด้านภาษีค่าธรรมเนียม ดังนี้ 1.ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดให้นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนที่จัดประชุมสัมมนา หรือศึกษาดูงานและเข้าพักในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่กำหนดสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง 2.ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณามาตรการลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย รวมถึงภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยให้ลดอัตราภาษีลง 90% จากอัตราที่กำหนดไว้เดิม 3.ขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาใช้มาตรการภาษีเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัด ดังนี้ ยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ต่ำ/เกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบ, ขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษี 3-6 เดือน ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในพื้นที่, ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1% เป็นเวลา 1 ปี สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน

นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการการเงินเพื่อสภาพคล่องผู้ประกอบการ ได้แก่  1.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ในลักษณะที่สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับมาตรการของสถาบันการเงินของรัฐที่ได้มีมาตรการช่วยเหลือออกมาแล้ว 2.ขอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการ “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน” ในวงเงิน ไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือน และดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 12 เดือนแรก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนของครัวเรือนในพื้นที่ 3. พิจารณาจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดน วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายพจน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.ขอให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณามาตรการสนับสนุนหรืองบประมาณแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับการจัดกิจกรรมสัมมนาและศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยกำหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยเป็นลำดับแรก ๆ 2.ขอให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่มีแผนจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน พิจารณาเลือกใช้สถานที่ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน

ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านแรงงานและการจ้างงาน ได้แก่ 1.ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในประเภทธุรกิจโรงแรมและสถานบริการ และขอให้ยังคงใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่เคยกำหนดไว้เดิม 2.ปรับลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนลงให้เหลือ 0.5% เป็นเวลา 1 ปี รวมทั้งขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา39 (อ้างอิงกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) 3.สนับสนุนนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เช่น สปป.ลาว หรือเมียนมาโดยปรับขั้นตอนการนำเข้าแรงงานให้รวดเร็วและง่ายขึ้น และเสนอให้นำแรงงานจากประเทศอื่นๆมาเพิ่มเติม อาทิ จากประเทศบังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น

ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวอีกว่า 4.จัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานระดับจังหวัด เพื่อช่วยจับคู่แรงงานกับผู้ประกอบการที่ต้องการแรงงานเร่งด่วน 5.สำหรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณาผ่อนปรนให้สามารถกลับเข้ามาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง 6.แรงงานต่างด้าวที่ปัจจุบันยังพำนักและทำงานอยู่ในประเทศไทย ขอให้พิจารณาเปิดช่วงเวลาให้นายจ้างหรือแรงงาน สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตามกฎหมาย ภายในระยะเวลา 2 เดือน และ7.ในการจัดทำบันทึกความตกลง (MOU) รอบใหม่ สำหรับแรงงานกัมพูชาที่เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณามาตรการผ่อนปรนค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนเพื่อจูงใจให้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง โดยเสนอให้ลดค่าใช้จ่ายลง 50% หรือมากกว่านั้น

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2025 จาก Enterprise Asia ติดต่อกันเป็นปีที่ 4

เอไอเอ ประกาศรางวัล “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี”

เอไอเอ ประกาศรางวัลโรงเรียนที่ชนะเลิศในโครงการแข่งขัน “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3

กลุ่มบริษัทเอไอเอ ครองอันดับ 1 บริษัทที่มีสมาชิกสโมสรล้านเหรียญ

กลุ่มบริษัทเอไอเอ ครองอันดับ 1 บริษัทที่มีสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) มากที่สุดในโลก 11 ปีติดต่อกัน

เอไอเอ ประเทศไทย นำทีมพลังตัวแทนร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต

เอไอเอ ประเทศไทย นำทีมพลังตัวแทนร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24