ธปท. แจงภัยการเงินออนไลน์รุนแรง เสียหายแตะ 1 แสนล้าน

Date:

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าว สุนทรพจน์งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 หัวข้อ  “เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance” กล่าวว่า ในทศวรรษที่ผ่านมา การเงินดิจิทัล (digital finance) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะระบบการชำระเงินดิจิทัล หรือที่เราเรียกว่า fast payment ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ จนเปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจไปอย่างมาก 

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไทยคือ พร้อมเพย์ (PromptPay) ที่ประชากรไทยกว่า 70% ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันมีการใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน และมีมูลค่าการโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 1.44 หมื่นล้านบาท

ที่สำคัญ พัฒนาการเหล่านี้ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ให้กับแรงงาน ครัวเรือน และธุรกิจน้อยใหญ่ ให้เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่สามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดออนไลน์ผ่านการชำระเงินผ่านระบบ fast payment หรือแรงงานที่สามารถโอนเงินกลับบ้านได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น

แต่ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและนอก ภาคการเงินในการเสริมสร้างระบบการจัดการภัยการเงินให้เข้มแข็งและเป็นระบบมาอย่างต่อเนื่อง 

แต่การแก้ปัญหาภัยการเงินมีความท้าทายไม่น้อย จะเห็นได้ชัดจากกรณีการจัดการบัญชีม้าล่าสุด ที่เราพบว่าหนึ่งในการดำเนินการเพื่อจัดการภัยการเงิน ในการต่อเส้นเงินตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (พ.ร.ก. ไซเบอร์) ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกักเงินคืนให้ผู้เสียหาย มีผลกระทบต่อผู้สุจริตในเส้นเงินมากกว่าคาด เราจึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้อง เร่งปรับกระบวนการ โดยให้การปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้น ไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังปรับปรุงกลไกเพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริต ให้ทำได้ภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อช่วยคลายความกังวลของร้านค้า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล 

1 A framework towards safer and more inclusive digital finance

    ภัยการเงินที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ สะท้อนให้เราเห็นถึง trade off ที่มากับการเงินดิจิทัล ที่แม้จะสร้างความสะดวกและโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเงินที่คุกคามประชาชน การจะสร้างสมดุล เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจนั้น เราต้องพัฒนาสามองค์ประกอบหลักควบคู่กัน คือ เทคโนโลยี การกำกับดูแล และข้อมูล 

    (1) เทคโนโลยี เป็นองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ และยังมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากนวัตกรรมด้วย แต่เพียงเทคโนโลยีอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างระบบการเงินที่ปลอดภัยและยั่งยืนได้เราจำเป็นต้องมี

    (2) การกำกับดูแล (Regulatory framework) ที่เหมาะสม เพื่อวางกติกา และสร้างรั้วป้องกันความเสี่ยง (guardrail) จากเทคโนโลยี และส่งเสริมการเข้าถึงไปพร้อม ๆ กัน 

    (3) ข้อมูล ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้การพัฒนาการเงินดิจิทัลตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และเติบโตได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน

    2 ภัยการเงินในประเทศไทย 

    ภัยการเงินในประเทศไทย โดยเฉพาะการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง (Authorized Push Payment Fraud) กำลังแพร่กระจายรวดเร็ว ตามการเติบโตของระบบชำระเงินที่รวดเร็ว (fast payment) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้สามองค์ประกอบนี้ดีขึ้น คือ 

    ในด้านเทคโนโลยี: ระบบ fast payment ที่ทำให้ธุรกรรมง่าย รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ได้เอื้อให้เกิดการหลอกลวงที่ยากต่อการจัดการ ใน 2 มิติหลัก 

    มิติแรกคือ Scale: ระบบ fast payment ผนวกกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้คนจำนวนมากเข้าหากันง่ายขึ้น ประกอบกับ AI ที่ทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น ส่งผลให้การหลอกลวงเกิดง่าย ขยายวงกว้าง และใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น จากการสำรวจคนไทยกว่า 7,000 ตัวอย่าง พบว่า 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และกว่า 30% ได้รับความเสียหาย และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร

    มิติที่สองคือ Speed: fast payment เปิดทางให้มิจฉาชีพโอนเงินออกนอกระบบได้เร็ว เงินจึงหายไวและตามได้ยาก โดยข้อมูลชี้ว่า เงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ ทำให้การรับมือของสถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลาอย่างยิ่ง 

    เทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิผลของการจัดการภัยการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ และจัดการความผิดปกติจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยตัวอย่างของนโยบายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจะดำเนินการ คือ

    – การยกระดับการพัฒนาระบบตรวจจับที่แม่นยำและทันท่วงที โดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริต หรือ Central Fraud Registry (CFR) 

    – การยกระดับระบบ CFR ให้สามารถระงับและต่อเส้นเงินได้รวดเร็วขึ้น ผ่านการใช้ Application Programming Interface (API) และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดเส้นทางเงินของมิจฉาชีพและกักเงินไว้ให้ได้มากที่สุด 

    ในด้านการกำกับดูแล เราจะเห็นได้ว่า ภัยการเงินเกิดได้หลายรูปแบบ
    หลายช่องทาง และเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนในห่วงโซ่การหลอกลวง (fraud chain) โดยมิจฉาชีพอาศัย “ช่องโหว่” ในห่วงโซ่นี้เพื่อหลอกลวงและปกปิดเส้นทางการเงิน ดังนั้นการจัดการภัยการเงินจะขาดประสิทธิภาพหาก (1) ผู้ให้บริการมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เท่ากัน (2) ข้อมูลของภาคส่วนต่าง ๆ ในห่วงโซ่ไม่เชื่อมโยงและไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ (3) การกำกับดูแล และกำหนดอำนาจหน้าที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งระบบ และ (4) กฎระเบียบยังไม่เท่าทันปัญหาและโลกดิจิทัล

    เราจึงต้องให้ความสำคัญกับ 

    – การกำหนดมาตรฐานให้ผู้ให้บริการมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงิน 

    – การกำหนดอำนาจหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ อย่างครอบคลุม และปรับกฎเกณฑ์ให้เท่าทัน

    – การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน

    โดยตัวอย่างนโยบายสำคัญ เช่น

    – การผลักดัน พ.ร.ก. ไซเบอร์ เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของทุกภาคส่วน ให้ชัดเจนและเท่าทันกับปัญหา รวมถึงมีแนวนโยบายในการกำหนดความรับผิดชอบของภาคส่วนต่าง ๆ 

    – การผลักดันมาตรฐานให้ผู้ให้บริการทางการเงินต้องมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ และรับมือกับภัยการเงิน เช่น มาตรฐาน Mobile Banking Security และมาตรการจัดการบัญชีม้าทั้งระบบ 

    ในด้านข้อมูล ภัยการเงินที่มากับระบบ fast payment ทำให้สถาบันการเงินและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขาดข้อมูลที่ครบถ้วนในการติดตามเส้นทางเงิน เพราะมิจฉาชีพสามารถโอนเงินได้รวดเร็ว ข้ามทั้งสถาบันการเงินและระบบชำระเงินที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน อีกทั้งงานวิจัยชี้ว่ามีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่แจ้งความ ส่งผลให้สถาบันการเงินไม่อาจแยกผู้สุจริตออกจากผู้ทุจริตได้ชัดเจน และผู้ใช้บริการก็อาจขาดความรู้ความเข้าใจ
    จึงตัดสินใจโดยไม่รอบคอบและไม่สามารถปกป้องตนเองได้

    ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาข้อมูลในทุกมิติ ผ่านการส่งเสริม 

    – การแชร์ เชื่อมโยง และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งระบบ รวมถึงการแจ้งความของประชาชน 

    – การใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างภาคส่วน 

    – การเปิดเผยข้อมูล และมีกลไกที่ช่วยให้ประชาชนใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
    อย่างรอบคอบ

    ในด้านนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคี ได้จัดตั้งระบบฐานข้อมูล Central Fraud Registry เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน และขยายความครอบคลุม ไปถึงทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อม ๆ กับการพัฒนาระบบการรับแจ้งความที่สะดวกขึ้นผ่าน AOC 1441 อีกด้วย

    ที่ผ่านมา มาตรการต่าง ๆ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต (unauthorized fraud) ในรูปแบบ “แอปดูดเงิน” ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณีในปี 2566 ขณะเดียวกัน เราได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณี โดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2568 

    แม้เราจะก้าวหน้าไปมาก แต่ความเสี่ยงและภัยการเงินก็จะพัฒนาต่อ ตามการพัฒนาของระบบการเงิน เรา ในฐานะประชาชน สังคม และระบบการเงิน ต้องร่วมมือกันสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้สังคมไทยเติบโตไปกับการเงินดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและสมดุล

    3 จุดประสงค์ของงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้

      งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะได้มาเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนถึงทางออกจากปัญหานี้ร่วมกัน ซึ่งประเด็นนี้จะถูกหยิบยกเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมประจำปีของ IMF และ World Bank ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมในปีหน้า

      งานสัมมนานี้มีการปรับรูปแบบเป็น “Research Talk” เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชนและผู้ทำนโยบายได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการที่ทำวิจัยในประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจการเงินไทย  ทั้งนี้ ก็เพื่อต่อยอดงานวิจัยไปสู่การรับรู้
      ในวงกว้าง และการกำหนดนโยบาย

      Share post:

      spot_img
      spot_img

      Related articles

      นายกฯ อนุทิน คุย อภิสิทธิ์

      นายกฯ อนุทิน คุย อภิสิทธิ์ บอกได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมาย

      มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน สร้างภูมิคุ้มกันข่าวลวงวัคซีน

      มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกับ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ผนึกภาคีเครือข่าย ชวนคนรุ่นใหม่ผลิตสื่อออนไลน์ สร้างภูมิคุ้มกันข่าวลวง

      กลุ่มไทยออยล์ คว้ารางวัล Climate Action Excellence

      กลุ่มไทยออยล์ คว้ารางวัล Climate Action Excellence จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

      MAKE by KBank ชี้เทรนด์การ คนไทย “แบ่งเงินคุมค่าใช้จ่าย” 

      MAKE by KBank ชี้เทรนด์การเงินปี 2568 คนไทยหัน “แบ่งเงินคุมค่าใช้จ่าย” มากขึ้น หนุน Cloud Pocket นิยมต่อเนื่อง ช่วยเก็บเงินได้ดีกว่าเดิม 40%