
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยผลสำเร็จของการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในปี 2568 อย่างครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นทะเบียน GI การควบคุมคุณภาพ การส่งเสริมการตลาด GI ทั้งในไทยและในต่างประเทศ และสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่อง GI ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สินค้า GI ไทยซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีอัตลักษณ์ มีความพิเศษจากสินค้าทั่วไป จากทั้งเรื่องราวความเป็นมาและคุณภาพของสินค้า สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการ ชุมชนที่ผลิตสินค้าได้ โดยในปี 2568 จากจำนวนสินค้า GI ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน 239 รายการ สามารถทำมูลค่าได้สูงถึงกว่า 82,000 ล้านบาท
นางอรมน กล่าวว่า “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หรือ “GI” เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความพิเศษ เป็นชื่อเสียงหรืออัตลักษณ์ของชุมชน ที่สัมพันธ์กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ (ดิน น้ำ อากาศ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของพื้นที่) จึงมีความแตกต่างจากสินค้าทั่วไป เมื่อสามารถควบคุมคุณภาพและรักษามาตรฐานการผลิตโดยการขึ้นทะเบียนเป็น GI ได้ ก็ช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าที่ผลิตได้ตรงตามความคาดหวัง จึงขายได้ราคาดีกว่าสินค้าทั่วไป และสามารถสร้างรายได้และอาชีพให้กับชุมชน
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไทย 27 รายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6,100 ล้านบาท ทำให้จำนวนสินค้า GI ของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 239 รายการ รวมมูลค่าการตลาดทั้งสิ้น 82,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มี GI ของไทย 212 รายการ มูลค่าการตลาด 76,000 ล้านบาท) โดยสินค้า GI ที่ทำรายได้ติด Top 10 ในปี 2568 ได้แก่ 1) ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด (ตราด) 11,047 ล้านบาท 2) ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา 6,661 ล้านบาท 3) ทุเรียนหมอนทองระยอง 4,886 ล้านบาท 4) ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ 4,812 ล้านบาท 5) มะพร้าวทับสะแก (ประจวบคีรีขันธ์) 3,776 ล้านบาท 6) เหล้าแป้ (แพร่) 3,632 ล้านบาท 7) มะขามหวานเพชรบูรณ์ 3,363 ล้านบาท 8) หอมแดงศรีสะเกษ 2,882 ล้านบาท 9) กุ้งก้ามกรามบางแพ (ราชบุรี) 2,570 ล้านบาท และ 10) ทุเรียนบางนรา (นราธิวาส) 2,544 ล้านบาท
นอกจากนี้ กรมฯ ยังส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้า GI มีการทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าได้รับของดีมีคุณภาพที่มาจากแหล่งผลิตโดยตรง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กรมฯ ได้ช่วยผู้ผลิตจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า GI ให้กับ 9 สินค้า ได้แก่ ขนุนหนองเหียงชลบุรี ส้มสายน้ำผึ้งฝาง ลิ้นจี่จักรพรรดิฝาง (เชียงใหม่) มันแกวบรบือ (มหาสารคาม) สับปะรดบึงกาฬ ผ้าหมักโคลนบึงกาฬ กล้วยหอมทองเพชรบุรี ส้มควายภูเก็ต และทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด (ตราด) ส่งผลให้ปัจจุบันสินค้า GI ไทย มีระบบควบคุมคุณภาพสินค้าแล้ว 203 รายการ คิดเป็นร้อยละ 85 ของสินค้า GI ไทยทั้งหมด และมีผู้ประกอบการได้รับอนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์ GI ไทยกว่า 16,000 ราย ซึ่งเป้าหมายของกรมฯ คือจะทยอยจัดทำระบบควบคุมคุณภาพให้กับสินค้า GI ทุกรายการ
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งความสำเร็จคือการส่งเสริมช่องทางการตลาดสินค้า GI ทั้งในและต่างประเทศ ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การพาสินค้า GI สู่ตลาด ในงาน GI Market และงาน Thaifex – Anuga Asia การยกระดับสินค้า GI โดยการช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ โดยกิจกรรมไฮไลท์ในปี 2568 คือ การจับมือ
คุณโชน ปุยเปีย นักออกแบบรุ่นใหม่ ดึงเสน่ห์ของผ้า GI ไทยอวดสู่สายตาชาวโลก ผ่านการออกแบบชุด เพื่อสวมใส่ให้กับรูปปั้นแมนเนเกน พิส สัญลักษณ์ประจำเมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับร้านอาหารระดับ Fine Dining เพื่อนำวัตถุดิบ GI มารังสรรค์เป็นเมนูประจำร้าน และความร่วมมือกับสถาบันสอนทำอาหารเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต สถาบันสอนทำอาหารเก่าแก่ระดับโลก เพื่อนำสินค้า GI มาเป็นวัตถุดิบในการเรียนการสอนหลักสูตรต่างๆ ของสถาบัน
สำหรับแผนการส่งเสริมสินค้า GI ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กรมฯ พร้อมรับลูกนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความสำคัญและเดินหน้าส่งเสริมสนับสนุนสินค้า GI ไทย แบบครบวงจรอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเน้นการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ พาณิชย์จังหวัด ในการเฟ้นหาสินค้าคุณภาพที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นให้เข้าสู่ระบบการคุ้มครอง GI ทูตพาณิชย์ในต่างประเทศ เรื่องการวิเคราะห์ตลาดเป้าหมาย และขยายตลาดสินค้า GI ไทยสู่สากล รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดสินค้า GI ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดสินค้าพรีเมียม และร้านอาหาร Fine Dining ในการใช้ GI เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ที่จะช่วยให้เกิดยอดสั่งซื้อ GI จากผู้ผลิตอย่างสม่ำเสมอ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า GI ยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมาสินค้า GI ที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะมีมูลค่ามากกว่าสินค้าทั่วไปประมาณ 2-5 เท่า นำมาซึ่งรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวทิ้งท้าย