
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจ 15 หน่วยงาน โดยนายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยของเราได้มีการรวมตัวประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์ สงครามนี้เป็นสงครามที่เราจะต้องชนะเท่านั้น เพื่อปกป้องประชาชนทุกคนจากภัยสแกมเมอร์ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศอยู่ทุกวัน ชื่อเสียงที่ต้องเสื่อมเสียภาพลักษณ์ที่ถูกบั่นทอน มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ความเสียหายที่ซ่อนอยู่จากภัยของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้มีมากมายจนไม่สามารถที่จะประเมินค่าได้ นี่คือภัยแห่งความมั่นคงอันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งรัฐบาลของตนได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขป้องกันและปราบปรามให้สูญสิ้นไปให้ได้ ดังนั้นการรวมพลังลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้คืออาวุธที่เราจะใช้ในการต่อสู้กับอาชญากรอย่างเป็นระบบ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้ภารกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งออนไลน์สแกมเมอร์ให้เห็นผลจริงทั้งในระยะสั้น และยั่งยืนในระยะยาว
นายกฯ กล่าวว่า เอ็มโอยูว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อเดินหน้าปฏิบัติการเชิงรุกใน 5 ด้านหลักคือ 1.บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิดหรือผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง 2.สร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรองและการสืบสวน 3.ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันทีตัดเส้นทางการเงินอาชญากรไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินได้อีกต่อไป
นายกฯ กล่าวอีกว่า 4. ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเอไอในการตรวจจับเส้นทางเงินและพฤติกรรมของมิจฉาชีพ เพื่อสกัดก่อนที่จะเกิดเหตุ และ5.เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนได้มีความรู้เท่าทันและต้องมีการแจ้งเบาะแส เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้ระมัดระวังและพร้อมกันนี้ให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับสงครามป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
นายกฯ กล่าวต่อว่า ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ เราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นเจ้าของสแกมเมอร์ เป็นผู้ที่มีส่วนร่วม ตนคิดว่าภาพในวันนี้คงปรากฏและทำให้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าไม่มีใครที่จะมีความอดทนต่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำร้ายประเทศไทย
“สิ่งที่ทุกท่านรวมถึงตัวของผมด้วยมีความมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ที่จะปฏิบัติก็คือจะต้องร่วมกันปราบปราม ปกป้องประชาชนชาวไทยให้ปลอดภัยจากภัยสแกมเมอร์ พวกเราทุกคนมีอายุราชการเหลือไม่กี่ปีแล้ว ผมมั่นใจว่าพวกเราทุกคนที่อยู่บนที่แห่งนี้เป็นเพื่อนกันหมด เป็นพี่เป็นน้อง ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นแต่เพียงสายงานเท่านั้น แต่ความรู้จักความผูกพันความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน คือเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ เป็นน้องที่เราสามารถที่จะแสวงหาความร่วมมือและสร้างพลัง ใช้โอกาสนี้และใช้ความเป็นพี่น้อง เป็นหัวหน้ารัฐบาล และเป็นเพื่อนรักกับผบ.ตร. เป็นพี่ของอธิบดีดีเอสไอ เป็นพี่ของผู้ว่าฯแบงค์ชาติเป็นเพื่อนร่วมงานของปลัดกระทรวงหลายท่านและเป็นคนตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชนของผมต้อง ขอให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ ผมรู้จักเพื่อนพี่น้องของผมเหล่านี้ดีพวกเราจะไม่มีวันหมดหน้าที่ หรือแม้เกษียณอายุราชการไปแล้ว บอกกับตัวเองไม่ได้ว่าในขณะที่มีอำนาจมีหน้าที่ มีภารกิจอยู่ไม่ทำเรื่องให้สำเร็จปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน ตายตาไม่หลับ”นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า พวกเราทุกวันมาถึงจุดนี้ได้เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศและได้ทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลทุกคนขอให้ความมั่นใจว่าเรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้และเรื่องนี้ไม่มีเกี้ยเซียะ เรื่องนี้มีแต่ลุยลูกเดียวเท่านั้น




