ไทยออยล์ โชว์กำไร ไตรมาส 3 ปี 2568 กว่า 2 พันล้านบาท

Date:

คุณบัณทิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP  เปิดเผยว่า “ผลประกอบการบริษัทฯ ไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 80,049 ล้านบาท ลดลง 19,037 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า  เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) สำหรับหน่วยกลั่นน้ำมันที่ 3 และหน่วยอื่นๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ส่งผลให้กำลังการผลิตลดลง และราคาขายผลิตภัณฑ์บางส่วนที่อ่อนตัว แต่ยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับขึ้นตามภาวะอุปทานตึงตัวจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอลรวมถึงสหรัฐและสหภาพยุโรปมีมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่กับรัสเซียส่งผลให้ไทยออยล์มีกําไรจากสต็อกนํ้ามัน

ในช่วงดังกล่าวกลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 5.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจาก 7.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นปรับลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นทำให้ไทยออยล์รับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท หรือ 2.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นรวมผลกระทบจากสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2 ปี 2568

อีกปัจจัยสำคัญที่หนุนผลประกอบการ คือ กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงิน 1,372 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ส่งผลให้ EBITDA ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 3,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,619 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน ฉะนั้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ไทยออยล์พลิกจากการขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2567 กลับมามีกำไรได้ในไตรมาส 3 ปี 2568 

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 12,126 ล้านบาท คิดเป็น กําไรสุทธิ 5.43 บาทต่อหุ้น โดยกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4,934 ล้านบาทจากปีก่อน แม้อัตรากำลังการกลั่นลดลงเพราะหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ แต่ได้แรงหนุนจากกำไรพิเศษจากบริษัทร่วม PT Chandra Asri Petrochemical (CAP) ที่มีกำไรจากการเข้าซื้อกิจการในสิงคโปร์จํานวน 7,044 ล้านบาท และกําไรจากการซื้อหุ้นกู้คืนจํานวน 4,067 ล้านบาท หลังจากไทยออยล์ได้ไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 633 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,894 ล้านบาท ตามแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทไทยออยล์อนุมัติโครงการ Asset Monetization เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านรูปแบบการให้เช่าและเช่ากลับ (Lease & Leaseback) ของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถังเก็บน้ำมัน ทุ่นผูกเรือกลางทะเลและสถานีจ่ายน้ำมันทางรถซึ่งช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะยาว

“สำหรับภาพรวมของไตรมาส 4 ปี 2568 ไทยออยล์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการกลับมาเดินเครื่องกลั่นเต็มกำลัง และค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มตึงตัว การบริหารความเสี่ยงและฐานะการเงินที่ดีขึ้นจะช่วยให้ไทยออยล์มีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2569 ส่วนแผนการลงทุนในอนาคต ไทยออยล์และบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2572 เป็นจำนวน 1,736 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นโครงการพลังงานสะอาด (CFP) 1,538 ล้านดอลลาร์สหรัฐและโครงการอื่นๆของบริษัทฯที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”” คุณบัณทิต กล่าว

เกี่ยวกับ ไทยออยล์ 

ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน 

นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่งทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

EGCO Group โชว์เคสธุรกิจไฟฟ้ายั่งยืน

EGCO Group โชว์เคสธุรกิจไฟฟ้ายั่งยืน ควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ ในการประชุมวิชาการนานาชาติ IBD 2025

GULF ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก JCR ระดับ “A”

GULF ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก JCR ระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ตอกย้ำศักยภาพและความแข็งแกร่งทางธุรกิจในระดับสากล

ราชกิจจาฯ ประกาศฯ สลากกอช. มีผลบังคับใน 60 วัน

ราชกิจจาฯ ประกาศฯ สลากกอช. มีผลใช้บังคับเมื่อพ้น 60 วัน นับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

บัตรเครดิต กรุงศรี ระบุปีที่แสนเหนื่อยของธุรกิจบัตร

บัตรเครดิต กรุงศรี ระบุปีที่แสนเหนื่อยของธุรกิจบัตร เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตอบโจทย์ลูกค้า