ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวัน : นัยต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก

Date:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ประเมินว่า ความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันสูงขึ้นหลังการเดินทางเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงย้ำว่าจะสนับสนุนสันติภาพบริเวณช่องแคบไต้หวันต่อไป ขณะที่รัฐบาลจีนประณามการเดินทางครั้งนี้ และปฏิบัติการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมารอบเกาะไต้หวัน ซึ่งจะกระทบต่อการขนส่งชั่วคราว

อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันเคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะหลังจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party) ที่มีนโยบายสนับสนุนการแยกตัวออกจากจีนชนะการเลือกตั้งไต้หวันตั้งแต่ปี 2016

ในกรณีฐาน สถานการณ์จะยังไม่ยกระดับความรุนแรง แต่ความตึงเครียดและข้อพิพาทระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีจำกัด EIC ประเมินว่าสถานการณ์ความขัดแย้งอาจเกิดได้ 3 กรณี กรณีที่มีโอกาสเกิดสูงสุด

(กรณีที่ 1) คือ จีนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อไต้หวันในเชิงสัญลักษณ์และเพิ่มการซ้อมรบแค่ชั่วคราว ขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่คว่ำบาตรจีนโดยตรง สถานการณ์จึงยังไม่ยกระดับความรุนแรง ด้านสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์ (Strategic ambiguity) เพื่อลดความเสี่ยงการเผชิญหน้ากับจีน ด้วยการสนับสนุนนโยบาย One-China policy ของจีนอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกัน ก็ให้การสนับสนุนไต้หวันทางเศรษฐกิจและยุทโธปกรณ์ ขณะที่จีนยังคงอ้างอธิปไตยเหนือไต้หวัน แต่ไม่ต้องการยกระดับความรุนแรงเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจจีนยังซบเซาและกำลังจะมีการจัดประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดและข้อพิพาทประเด็นการเมืองระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น (เป็น New normal) และเร่งให้การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Decoupling) เกิดเร็วขึ้น ในกรณีนี้ EIC ประเมินว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีจำกัด เศรษฐกิจโลกยังสามารถขยายตัวได้ที่ 3.2% และการค้าโลกขยายตัวได้ที่ 4.1% ในปีนี้

หากความตึงเครียดรุนแรงขึ้น จะกระทบการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมีนัยสำคัญ ในกรณีเลวร้ายที่เกิดสงคราม หลายประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันส่งผลกระทบต่อการเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวันและน่านน้ำใกล้เคียง ห่วงโซ่อุปทานโลก และเศรษฐกิจภูมิภาค ในกรณีที่จีนใช้มาตรการปิดน่านน้ำไต้หวันและระงับการนำเข้าส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ของไต้หวัน แต่ยังไม่ถึงขั้นเกิดสงคราม

(กรณีที่ 2) ห่วงโซ่อุปทานโลกจะได้รับผลกระทบมากขึ้นกว่าในกรณีฐาน โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ที่ไต้หวันเป็นผู้ผลิตสำคัญที่สุดของโลก ขณะที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อจีน ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกสูงกว่าการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย เนื่องจากจีนมีความสำคัญและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากกว่า ในกรณีนี้ EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้เพียง 2.4% ในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไต้หวันอาจถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนชะลอลงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในกรณีที่เกิดสงครามระหว่างจีนและไต้หวัน

(กรณีที่ 3) คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง โดยเศรษฐกิจไต้หวัน จีน และสหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตรทั้งสองฝ่ายจะเข้าสู่ภาวะถดถอย การค้าโลกจะแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน ทำให้การค้าระหว่างประเทศหยุดชะงักในหลายพื้นที่ ในกรณีนี้ EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้เพียง 1.4% เท่านั้นในปีนี้

การแบ่งขั้วระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะเร่งตัวรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โดยสหรัฐฯ ได้ผ่านร่าง CHIPS and Science Act เพื่อกระตุ้นการลงทุนผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ และห้ามบริษัทต่าง ๆ ส่งเทคโนโลยีสำคัญไปให้จีน ขณะที่จีนก็มีนโยบายกระตุ้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ภายในประเทศเช่นกัน EIC ประเมินว่า ความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศภูมิภาครวมถึงไทยผ่าน 4 ช่องทาง คือ

1) การค้าระหว่างประเทศ การนำเข้าและส่งออกของไต้หวันและกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ทำได้ลำบากขึ้น แต่ในบางกลุ่มสินค้าอาจได้ประโยชน์จากการนำเข้าและส่งออกสินค้าทดแทน (Product substitution)

2) การลงทุนระหว่างประเทศ บริษัทข้ามชาติอาจหันมาลงทุนในประเทศหรือภูมิภาคใกล้เคียง (Reshoring) เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกที่สูงขึ้น

3) อัตราเงินเฟ้อ ห่วงโซ่อุปทานสำคัญของสหรัฐฯ และจีนได้รับผลกระทบ จึงต้องหันมาพึ่งพาการผลิตในประเทศหรือภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นกว่าเดิม อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น

4) ความผันผวนในตลาดการเงินสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนอาจกังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกและปิดรับความเสี่ยง (Risk off) ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และค่าเงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทอ่อนค่าลง

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

เจาะลึก 4 เครื่องมือวางแผนมรดก

เดอะวิสดอมกสิกรไทย เจาะลึก 4 เครื่องมือวางแผนมรดก ลดภาระภาษี ส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น

กรุงศรี ออโต้ ผนึก ททท. เปิดตัวบริการบัดดี้ท่องเที่ยว

กรุงศรี ออโต้ ผนึก ททท. เปิดตัวบริการบัดดี้ท่องเที่ยวคู่ใจผู้ใช้รถใน GO Travel บนแอปพลิเคชัน GO by Krungsri Auto

กลุ่มสยามกลการ ลุยตลาดอาคารสำนักงาน

กลุ่มสยามกลการ ลุยตลาดอาคารสำนักงาน เปิดตัว “สยามปทุมวัน เฮ้าส์” อาคารสำนักงานอัจฉริยะสีเขียวใจกลางกรุงเทพฯ

ธนชาตประกันภัย รุกหนักออก ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า 

ธนชาตประกันภัย รุกหนักออก ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า คุ้มครองแบตเตอรี่เสียหายเปลี่ยนให้ใหม่ 100%