ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2568 โตต่อเนื่อง

Date:

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศปี 2568 คาดโต 12% เทียบกับปีก่อน จากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนสัตว์เลี้ยง โดยพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโตคือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุดและผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2568 คาดโต 15% ชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% ตามความต้องการในตลาดคู่ค้าหลักที่คาดว่าจะโตช้าลง อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50%

แนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศ

ปี 2568 คาดว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น
จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว  5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัขแต่ในอนาคต คาดว่า สัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี

พื้นที่ศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุดและผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีสัตว์เลี้ยงอยู่ราว 3.1 แสนตัว คิดเป็น 6% ของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และมีรายได้เฉลี่ยที่ 35,901 บาท/เดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศที่ 29,030 บาท/เดือน

ดังนั้น ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจะอยู่ที่ 46,000 ล้านบาท ในปี 2568 ขยายตัว 12% จากปีก่อน และกำไรของธุรกิจคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น สอดคล้องไปกับยอดขายที่โตต่อเนื่อง

การแข่งขันของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศ

ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศแข่งขันรุนแรง จากจำนวนผู้เล่นในประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการนำอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามาแข่งขันมากขึ้นด้วย ในปี 2567 ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีอยู่ 317 ราย โดยมีจำนวนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 36 ราย ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีผู้ประกอบการนอกธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์  ธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที ฯลฯ ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้ว

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามากขึ้น สะท้อนจาก อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2562-2567 อยู่ที่ 17% ต่อปี โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ที่เป็นอันดับ 1 และมีสัดส่วนราว 40%

แนวโน้มการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย

การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังโตโดดเด่น ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและจำนวนสัตว์เลี้ยงมาก

ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยโต มาจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง เช่น

– สหรัฐฯ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรสูงราว 85,373 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศสูงถึง 144 ล้านตัว สะท้อนถึงมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง

– ญี่ปุ่น มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อยู่เกือบ 30% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังมักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน

– ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเพื่อเติมเต็มความสุข โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมมีบุตรช้าหรือไม่แต่งงาน

นอกจากนี้ ในปี 2562-2567 อัตราการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี (รูปที่ 6) โดยตลาดที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มและสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ และอาเซียน สะท้อนถึงโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง

ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงราว 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% คาดว่าเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% โตช้าลง (รูปที่ 8) อย่างไรก็ดี ยังมีตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น อังกฤษ ที่จำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.2 ล้านตัว หลังช่วงโควิด-19 หรือนิวซีแลนด์ จากผลข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง จึงทำให้ยอดการส่งออกไปยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การแข่งขันของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดส่งออก

การแข่งขันในตลาดส่งออกยังคงมีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้กับตลาดคู่ค้าสำคัญไทยเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ ไทยต้องเจอคู่แข่งที่สำคัญอย่าง เม็กซิโก ที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะขนส่งที่ใกล้ หรือญี่ปุ่น ที่ไทยต้องแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้เปรียบด้านราคา สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ที่ส่งไปญี่ปุ่นปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2564

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไทย

– ต้นทุนการผลิตยังคงผันผวน โดยเฉพาะวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลง

– มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการทางการค้าอื่นๆ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการ Farm to Fork ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอน และการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่อาจขยายขอบเขตมายังภาคเกษตรและอาหารในการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือต้องเป็นไปตามแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

KEX พร้อมเดินหน้าเต็มสูบ ยกระดับความแข็งแกร่งของการบริการขนส่ง

KEX พร้อมเดินหน้าเต็มสูบ ยกระดับความแข็งแกร่งของการบริการขนส่ง มุ่งสานต่อพันธกิจ เชื่อมต่อทั่วโลก ส่งตรงทุกปลายทาง

นายกฯ เชิญ ก.ล.ต. และหน่วยงานเกี่ยวข้อง สร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน

นายกรัฐมนตรี เชิญ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าพบสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน

ธอส. ชวนลูกค้าหนี้เสีย เข้า“โครงการคุณสู้ เราช่วย”

ลูกค้า ธอส. ลงทะเบียนรับความช่วยเหลือผ่าน “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ได้แล้ววันนี้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568

EXIM BANK คว้ารางวัลองค์กรคุณธรรม

EXIM BANK คว้ารางวัลองค์กรคุณธรรม ระดับ “คุณธรรมต้นแบบ” 3 ปีซ้อน