เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 รายงานผลการดำเนินงานในปี 2567 และนำเสนอกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 1.90 บาทต่อหุ้นและเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.20 บาทต่อหุ้นแล้ว คงเหลือเป็นเงินปันผลจ่ายสำหรับผลประกอบการ 6 เดือนหลัง ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาทต่อหุ้น
ในปี 2567 ไทยออยล์ ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ มีแผนปฏิบัติการเชิงรุกและการบริหารจัดการความเสี่ยงรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงความท้าทายและความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ อยู่ในระดับดี โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
1. การบริหารจัดการเชิงบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่า จากความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงานไปสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ เช่นการจัดหานํ้ามันดิบที่ตรงตามความต้องการเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น การวางแผนการผลิตอย่างยืดหยุ่นสอดคล้องกับความต้องการใช้นํ้ามัน และการบริหารจัดการงบประมาณในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษาอัตราการผลิต (Utilization Rate) อยู่ในระดับสูง ที่ 111.5%
2. มุ่งมั่นผลักดันและสานต่อโครงการ ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว
– โครงการพลังงานสะอาด ซึ่งสามารถดำเนินการก่อสร้างหน่วยปรับปรุงคุณภาพนํ้ามันดีเซล หน่วยที่ 4 แล้วเสร็จ และได้ประสบความสำเร็จในการทดลองเดินเครื่องผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567
– การขยายตลาดและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โภคภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษไปสู่ตลาดต่างประเทศ
– การเปิดดำเนินการส่วนขยายคลังสินค้า ที่เมืองไฮฟอง ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนามได้สำเร็จในเดือนตุลาคมปี 2567
– การจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มธุรกิจสารเคมีที่ใช้เพื่อยับยั้งและกำจัดเชื้อโรคและสารลดแรงตึงผิวในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต
3. การพัฒนาประสิทธิภาพในองค์กร โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน เช่น ระบบบริหารจัดการคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของไทยออยล์ ระบบอำนวยความสะดวกในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ที่สถานีจ่ายน้ำมัน และ ระบบวิเคราะห์คุณภาพการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในโรงกลั่นด้วยปัญญาประดิษฐ์
4. การพัฒนาศักยภาพด้านบริหารทรัพยากรบุคคลและองค์กร
มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสุขในการทำงาน ตามแนวทาง ”คนสำราญ งานสำเร็จ“ ส่งผลให้ได้รับรางวัลและการรับรองให้เป็นองค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทย หรือ “Best Places to Work” ประจำปี 2567 จากบริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด
5. การบริหารจัดการการเงิน
ไทยออยล์ได้รับการจัดอันดับสถานะความน่าเชื่อใน “ระดับน่าลงทุน” จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก อย่าง S&P Global, Moody’s และ Fitch Rating รวมถึง การซื้อหุ้นกู้ดอลล่าห์สหรัฐฯ คืนจากตลาดในมูลค่าที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เสนอขาย ช่วยเพิ่มผลกำไรในปี 2567 ได้ถึง 1,134 ล้านบาท
บริษัทฯ มุ่งมั่นเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ด้วยการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล มาโดยตลอด ส่งผลให้ได้รับการรับรองเป็นสมาชิก Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 อีกทั้ง ได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” หรือ “5 ตราสัญลักษณ์” ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 16 และเป็นหนึ่งในควอร์ไทล์บนของบริษัทจดทะเบียน และรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ที่มอบให้กับธุรกิจที่มีแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการกำกับดูแลกิจการที่ดี นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลอีกกว่า 30 รางวัล ครอบคลุมในทุกมิติ ไทยออยล์มุ่งมั่นนำประสบการณ์ องค์ความรู้ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มาต่อยอดและบูรณาการให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง สร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม บรรลุวิสัยทัศน์องค์กร “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”
เกี่ยวกับ ไทยออยล์
ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่ทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve
