เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย คาดปี 2568 มูลค่า 2.26 แสนล้าน

Date:

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิรแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ ปี 2568 คาดว่า ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท  ขยายตัว 2.0% (รูปที่ 2) แต่เป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี จากการบริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะน้อยกว่าที่คาด โดยแนวโน้มของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่สำคัญ มีรายละเอียดดังนี้

ยอดขายน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด คาดว่าจะขยายตัว 2.0% และ 2.6% ในปี 2568 ชะลอตัวลงจากปี 2567

ตลาดน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 55% ของยอดขายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด (รูปที่ 3) โดยปัจจัยที่หนุนให้ตลาดโต ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปี 2568 อุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ที่ราว 43 องศาเซลเซียส สอดคล้องกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่า สภาพอากาศร้อนเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขาย

เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล คาดว่าในปี 2568 ยังโต 5.5% สูงกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จากหลายปัจจัยหนุน

แม้ส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจะยังเล็กมาก แต่คาดว่าส่วนแบ่งจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2563 เป็น 7% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนจากการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคและความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เจาะจงขึ้น เช่น ลดปัญหาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และนอกธุรกิจ เช่น โรงพยาบาล อาหาร เคมีภัณฑ์ หันมาทำตลาดหรือแตกไลน์สินค้าใหม่ในเครื่องดื่มประเภทนี้เพิ่มขึ้น

การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งผู้เล่นในประเทศที่มีมากราย รวมถึงสินค้านำเข้าที่มาตีตลาดเพิ่ม

ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากหรือกว่า 2,794 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลาย Segment ขณะที่สินค้านำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2% ต่อปี (CAGR ปี 2564-2567 ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ)

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ท่ามกลางสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง และมี Life-cycle ที่สั้นลง จำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และจูงใจให้เกิดการบริโภค สอดรับข้อมูลที่คาดว่าในปี 2568 เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะยังคงติดอันดับ TOP 3 สินค้าที่ลงทุนในสื่อโฆษณาดิจิทัลสูงสุดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ  นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีแผนมุ่งกระจายสินค้าสู่ตลาด B2B ทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงแรม อีกด้วย

แนวโน้มการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย

ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 1.0% โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นกลุ่มประเทศ CLMV (รูปที่ 4) ชะลอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ที่เติบโต 6.1% ต่อปี (CAGR ปี 2558-2567) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่เผชิญปัจจัยกดดันทางด้านสงครามทางการค้า และปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ส่งผลให้ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เช่น ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในกัมพูชาและเวียดนาม ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นภาษี VAT ในสปป.ลาว รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในเมียนมา เป็นต้น

กลุ่มประเทศ CLMV ยังเป็นตลาดหลักในการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 67%

การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ เช่น มาเลเซีย คาดว่าจะโตต่อเนื่อง จากการเข้าไปลงทุนหรือทำการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า มีการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายและมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากผลไม้

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยบางส่วนได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น ทำให้คาดว่า ระยะต่อไปมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศ สะท้อนจาก สัดส่วนการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 2561 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 2567

น้ำดื่มบรรจุขวด และเครื่องดื่มชูกำลัง สินค้าส่งออกหลักของไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดหลัก CLMV

การส่งออกน้ำดื่มบรรจุขวดปี 2568 คาดว่า จะยังขยายตัวจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำดื่มสะอาดและได้มาตรฐานในกลุ่มประเทศ CLMV ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะได้รับแรงหนุนจากประชากรแรงงานที่มีราว 113 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ CLMV  ซึ่งไม่เพียงเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่มีการปรับภาพลักษณ์สินค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม เช่น พนักงานออฟฟิศ ลูกค้าในตลาดอีสปอร์ต เป็นต้น

การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในตลาดส่งออก

เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งกับสินค้าท้องถิ่นและสินค้านำเข้าจากคู่แข่งโดยเฉพาะจีน ที่มีราคาถูกกว่า

การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย นอกจากผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไปยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง  น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังเผชิญกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาโดยเฉพาะจีน แม้ว่ากลุ่มประเทศ CLMV จะยังนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยมากที่สุดหรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 73% แต่การนำเข้าจากจีนถึงจะมีสัดส่วนเพียง 2% แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา สะท้อนจาก ปี 2567 เวียดนามมีมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และกัมพูชามีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย

ต้นทุนการผลิตปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาลทราย ที่ราคายังคงผันผวนจากสภาพอากาศที่แปรปรวน (รูปที่ 6) รวมถึงบรรจุภัณฑ์ ทั้งกระดาษ กระป๋องและพลาสติกที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้า ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2566-2567 จะอยู่ที่ 20-30%

อัตราภาษีความหวานที่ปรับขึ้นเดือนเมษายน ปี 2568 ซึ่งเป็นระยะที่ 4 ที่จัดเก็บภาษีเต็มขั้น (รูปที่ 7) จะกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 7.74-14.04 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร  ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นราว 1-5 บาท แตกต่างตามปริมาณน้ำตาล ขณะที่การปรับขึ้นราคาทำได้จำกัด เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง

ยอดขายของแต่ละผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ผู้บริโภค ในขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลงและความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ดังนั้น การเพิ่มความถี่ในการบริโภคเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจ

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

นายกฯ ร่วมขบวน Bangkok Pride

นายกฯ ร่วมขบวน Bangkok Pride ฉลองเดือนแห่งความเสมอภาค

“พิชัย“ เข้มชุดตรวจ ATK ห้ามขาด ห้ามขายแพง

“พิชัย“ เข้ม สั่งกรมการค้าภายในติดตามขายชุดตรวจ ATK ห้ามขาด ห้ามแพง ยันมีเพียงพอ พร้อมนำเข้าเพิ่มหากความต้องการสูงขึ้น

นายกฯ โชว์ภาพเซลฟี่ “อนุทิน”

นายกฯ โชว์ภาพเซลฟี่ “อนุทิน” เล่นมุกไม่ร้าว ก่อน “ทักษิณ” ทวงคืนมหาดไทย

นายกฯ แจงประชาชนเหตุเลื่อน แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3

นายกฯ แจงประชาชนเหตุเลื่อน แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 เจอปัญหาแทรกหลายเรื่อง ยัน ไม่ได้ยกเลิก