
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย โพสต์เฟสบุ๊ก “อมรเทพ จาวะลา” ระบุว่า
แย่กว่าฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด!
Ø การตัดสินใจล่าสุดของสหรัฐอเมริกาในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% ถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยอย่างรุนแรง การดำเนินการดังกล่าวทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราต่ำกว่าที่ 20% ความแตกต่างนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก จากสถานการณ์ดังกล่าว แนวโน้มการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 อาจจะถูกปรับลดลงต่ำกว่า 1.8% ที่เราคาดไว้ก่อนหน้า โดยมีความเสี่ยงโน้มเอียงไปในทางลบมากขึ้น ทั้งภาคการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และอุปสงค์ในประเทศล้วนเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ผลกระทบทางการค้าและความเสี่ยงในแต่ละอุตสาหกรรม
Ø ภาคการส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขึ้นภาษีครั้งนี้ สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) หม้อแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุ และเครื่องพิมพ์ ซึ่งล้วนพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก การเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ทำให้สินค้าดังกล่าวสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งตลาด รวมถึงการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีเงื่อนไขทางการค้าที่ดีกว่า เช่น เวียดนาม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบั่นทอนบทบาทของไทยในห่วงโซ่มูลค่าโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมบางประเภทที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น ยางรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ อาหารสัตว์ และข้าว อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า
Ø ในด้านการนำเข้า การชะลอตัวของการส่งออกและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลง และลดความต้องการสินค้าทุนและวัตถุดิบ การลดลงของการนำเข้าเครื่องจักร ชิ้นส่วน และวัตถุดิบ อาจสะท้อนถึงความอ่อนแอในกิจกรรมการผลิตโดยรวม และส่งผลกระทบต่อภาคโลจิสติกส์ คลังสินค้า และการขนส่ง ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตในประเทศ ความต้องการนำเข้าที่ลดลงยังสะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก
แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
Ø แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็มีความน่ากังวลไม่แพ้กัน จากการดำเนินการของสหรัฐฯ บริษัทข้ามชาติอาจเลือกกระจายความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และภาษี โดยย้ายการลงทุนไปยังเวียดนามหรือประเทศอื่นในอาเซียนที่มีสิทธิ์เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ดีกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้ศักยภาพการเติบโตระยะยาวของไทยลดลง โดยชะลอการเติบโตของค่าจ้าง ขัดขวางการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะฐานการผลิตที่มั่นคง ในระยะยาว ไทยอาจสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการผลิตมูลค่าสูงในภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
แนวทางนโยบายและทางเลือกเชิงกลยุทธ์
Ø เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินนโยบายด้านการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมอย่างบูรณาการและมียุทธศาสตร์ ในด้านการค้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรติดตามการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม (transshipping) หรือการละเมิดกฎระเบียบ ซึ่งอาจนำไปสู่การลงโทษเพิ่มเติม การส่งเสริมการส่งออกที่มีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูงจะช่วยลดการพึ่งพาส่วนประกอบที่เปราะบาง และเพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน ไทยควรปรับกลยุทธ์การนำเข้า โดยให้ความสำคัญกับสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด และเครื่องจักรไฮเทค เช่น เครื่องบินและอุปกรณ์ขั้นสูง
Ø ในด้านการลงทุน รัฐบาลควรเร่งดำเนินการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ปรับปรุงขั้นตอนทางราชการ และเพิ่มความโปร่งใสด้านกฎระเบียบ เพื่อดึงดูดและรักษาการลงทุนคุณภาพสูง การปฏิรูปเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างบทบาทของไทยในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เทคโนโลยีสีเขียวและการผลิตดิจิทัล เมื่อความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น ไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาการค้าเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ โดยเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าแบบทวิภาคี พร้อมกับการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ การปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละอุตสาหกรรมจะช่วยลดต้นทุนการปรับตัว และแสดงท่าทีที่สร้างสรรค์ต่อคู่เจรจาสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ไทยอาจต้องเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น โดยลดการปกป้องผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกในประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตลาด และลดต้นทุนการผลิต โดยลดอำนาจผูกขาดในบางอุตสาหกรรม
Ø เมื่อพิจารณาว่าสหรัฐฯ อาจไม่สามารถรักษาสถานะเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยได้อีกต่อไป ไทยจำเป็นต้องกระจายความสัมพันธ์ทางการค้าไปยังตลาดอื่น การขยายการเข้าถึงตลาดผ่านข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป และเร่งทำกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น RCEP และ CPTPP และใช้เวทีอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจการเจรจากับสหรัฐฯ ก็อาจเป็นประโยชน์
Ø แม้ว่าการประกาศภาษีอาจเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเจรจาที่กว้างขึ้นของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ก็อาจเร่งให้ไทยยอมเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพื่อแลกกับการลดภาษี อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าไทยต้องยอมทุกอย่าง ด้วยการออกแบบนโยบายอย่างรอบคอบและการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์ ไทยสามารถปรับสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ในลักษณะที่ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจะค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ โดยใช้จุดแข็งหลักของไทยในการแข่งขันเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการค้า
ความเสี่ยงด้านการเติบโตที่เพิ่มขึ้น
Ø จากความเสี่ยงที่กล่าวมา แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 จึงมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเราคาดว่าจะมีการปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ลงต่ำกว่า 1.8% ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากการหดตัวของการส่งออก การย้ายฐานการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงอ่อนแอ ปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์คือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนและมาเลเซีย ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการจากต่างประเทศลดลงเพิ่มเติม
Ø มีสองเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตามองในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะมีบทบาทในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ ผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ภายในวันที่ 1 สิงหาคม และการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในวันที่ 18 สิงหาคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
Ø เดือนกรกฎาคมยังคงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสำหรับประเทศไทย โดยมีปัจจัยสำคัญหลายด้านที่ยังอยู่ระหว่างการติดตาม ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาการค้า การบังคับใช้มาตรการภาษี และการตัดสินใจลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม คาดว่าในเดือนสิงหาคมจะมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ คำสั่งซื้อภาคการผลิตเริ่มสะท้อนสภาพแวดล้อมทางการค้าใหม่ การตัดสินใจลงทุนเริ่มปรากฏชัด และข้อมูล GDP ไตรมาสที่ 2 ถูกเปิดเผย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง