
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “ITD Research Forum 2025” จัดโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ภายใต้แนวคิด Trade Transforming, Connecting Future มุ่งเป็นเวทีกลางทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและนำเสนอผลงานวิจัยด้านการค้าและการพัฒนา เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ณ บริเวณหน้าห้อง Mayfair A ชั้น 11 โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร
นายฉันทวิชญ์ กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์การค้าโลกว่า กำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านสำคัญจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1.การแข่งขันด้านเทคโนโลยีของมหาอำนาจโลก
2.แนวนโยบายการค้าที่พึ่งพากฎระหว่างประเทศน้อยลง แต่หันมาใช้การเจรจาระหว่างประเทศแบบทวิภาคมากขึ้น โดยมีเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือต่อรอง
3.การที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานใหม่ โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม แรงงาน และการตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบ
“โจทย์สำคัญของประเทศไทยคือ เราจะยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร งานวิจัยและการระดมสมองในงานนี้ถือเป็น input สำคัญที่กระทรวงพาณิชย์จะนำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดนโยบายต่อไป” รมช.พาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ ผลงานวิจัยที่นำเสนอครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี (FTA) การวัดความพร้อมของไทยในการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์ด้านการค้าต่างประเทศของไทย
ซึ่งนายฉันทวิชญ์ ได้ระบุถึงแนวทางการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยว่า ต้องดำเนินการควบคู่กันใน 2 มิติหลัก คือ 1.การสร้างสินค้าและบริการที่มีเอกลักษณ์และมูลค่าเพิ่มสูง เช่น สินค้าเกษตรนวัตกรรม ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ Data Center, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีขั้นสูง 2.การยกระดับมาตรฐานการผลิต เพื่อให้สามารถเจาะตลาดคุณภาพอย่างสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ได้ โดยเฉพาะมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน และความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน
“ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านอาหารและเกษตร แต่ก็ต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาดที่จะป้อนให้ Data Center ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนประเทศไทยสามารถเดินหน้าได้ทั้งอาหารและเทคโนโลยีไปพร้อมกัน” นายฉันทวิชญ์ กล่าว
สำหรับในด้านการเจรจาการค้าเสรี (FTA) กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการกระจายตลาดและลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง โดยการเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐฯ จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยผนวกเข้ากับห่วงโซ่การผลิตโลก และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในสาขาใหม่ เช่น AI, Data Center และพลังงานสะอาด
“การเจรจา FTA ไม่ได้เป็นเพียงการเปิดตลาดสินค้า แต่คือจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตโลก ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจไทย การปรับตัวจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวอย่างราบรื่นและเสียหายน้อยที่สุด” รมช.พาณิชย์ กล่าว