“ศุภจี” แจงสภาครั้งแรก รัฐบาลเดินหน้าลดค่าครองชีพ

Date:

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภาโดยชี้แจงถึงนโยบายและภารกิจสำคัญของรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ต่อสมาชิกรัฐสภา ในประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ มาตรการลดค่าครองชีพ ป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศทะลัก-นอมินี การเพิ่มขีดความสามารถ SME และการดูแลสินค้าเกษตร 

นางศุภจี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐฯ ว่า ไทยสามารถสรุปแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เนื่องจากรัฐบาลมีเวลาในการทำงานจำกัด ไทยจะเร่งสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลง การค้าต่างประเทศ (Agreement on Reciprocal Trade: ART) ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการเปิดตลาดสินค้า บริการ และ การลงทุน โดยจะดำเนินการเจรจาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อภาคการผลิตและตลาดในประเทศ

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) สำหรับการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวังเป็น 65 รายการ และใช้ AI ตรวจสอบถิ่นกำเนิด รวมไปถึงออกมาตรการป้องกันการปลอมแปลงเอกสารอย่างเข้มงวด ส่งผลให้จำนวนการปลอม Form C/O ลดลงอย่างชัดเจน ก่อนการใช้ระบบการป้องกันการปลอมแปลง ได้พบการปลอมแปลงเป็นจำนวนมากจริง คือ ปี 2565 พบการปลอม 149 ฉบับ ปี 2566 พบการปลอม 168 ฉบับ แต่เมื่อนำระบบการป้องกันการปลอมแปลงมาใช้ในปี 2567 พบการปลอมแปลงเพียง 5 ฉบับ และ ในปี 2568 ยังไม่พบการปลอมแปลงเลย

ปัจจุบันไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จำนวน 31 กรณี ขณะที่ไทยถูกใช้มาตรการนี้จากต่างประเทศรวม 73 กรณี ส่วน มาตรการหลบเลี่ยง (AC) ไทยใช้ 6 กรณี และถูกใช้กับไทย 4 กรณี สำหรับ มาตรการปกป้อง (SG) ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน ส่วน มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD )ไทยยังไม่ได้ใช้เอง แต่มีการถูกใช้จากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ 7 กรณี เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางปรับปรุงกระบวนการดังนี้ 1.ลดระยะเวลาการรับคำร้องจากเดิม 4 เดือน เหลือ 1 เดือน 2.ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก เพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว 3.ลดเวลาการไต่สวนจาก 12 เดือน เหลือ 9 เดือน มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบและปกป้องการค้าของไทยรวดเร็วขึ้น ช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือการทุ่มตลาดและปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

และเรื่องแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพทะลักจากต่างประเทศและธุรกิจนอมินี กระทรวงพาณิชย์ภายใต้คณะกรรมการฯ ร่วมกับ 16 หน่วยงาน สามารถจัดเก็บ VAT จากสินค้านำเข้ารายย่อยกว่า 2,175 ล้านบาท ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด 81,719 คดี ตรวจสอบสินค้าออนไลน์กว่า 54,000 รายการ พร้อมใช้ AI กำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และเข้มงวดปราบปรามธุรกิจนอมินี

พร้อมกันนี้จะเดินหน้าลดค่าครองชีพประชาชน จัดโครงการมหกรรมธงฟ้าและลดราคาสินค้ากว่า 1,300 ครั้ง ช่วยลดค่าครองชีพกว่า 5,000 ล้านบาท และร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และให้ประชาชนซื้อยาจากร้านภายนอกโรงพยาบาลได้ ลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท พร้อมควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็นอีกกว่า 1,100 ล้านบาท

สำหรับข้าวในปีการผลิต 2568/69 โลกมีผลผลิตข้าวรวม 541 ล้านตัน ใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่ 542 ล้านตัน แต่ยังมีสต๊อกคงเหลือกว่า 187 ล้านตัน ขณะเดียวกันอินเดียเร่งระบายข้าวค้างสต๊อกกว่า 20 ล้านตันออกสู่ตลาดโลกในราคาต่ำ และประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็จำกัดการนำเข้า ส่งผลให้เกิดภาวะอุปสงค์อุปทานไม่สมดุล ราคาข้าวในตลาดโลกถูกกดดันและส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย

และประเทศไทย ข้าวปีนี้จะมีผลผลิตรวม 21.8 ล้านตัน และเมื่อรวมกับสต๊อกต้นปี 3.5 ล้านตัน จะมีข้าวทั้งหมด 25.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นข้าวหอมมะลิ 6.8 ล้านตัน ซึ่งยังคงเป็นจุดแข็งที่ตลาดทั้งในและต่างประเทศมีความต้องการสูง ส่วนการบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 7.4 ล้านตัน การส่งออก (ไม่รวมข้าวหอมมะลิ) ประมาณ 5.9 ล้านตัน และต้องสำรองเพื่อความมั่นคงและเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ราว 3.4 ล้านตัน ทำให้เหลือข้าวส่วนเกินประมาณ 1.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญในการบริหารจัดการต่อไป

โดยรัฐบาลได้เตรียมแนวทางรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะยาวจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพันธุ์ข้าว การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต และการปลูกข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก รวมถึงการส่งเสริมการปลูกพืชเสริมที่มีมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจากการปลูกแซมในสวนลำไยประมาณ 60,000–80,000 บาทต่อไร่ต่อปี

ส่วนมาตรการเร่งด่วนในช่วง 4 เดือน รัฐบาลได้เตรียมรองรับผลผลิตรวม 8.5 ล้านตัน ผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ (1) สินเชื่อชะลอการขาย 3 ล้านตัน เพื่อดูดซับผลผลิตไม่ให้เข้าสู่ตลาดเร็วเกินไป (2) สินเชื่อสนับสนุนสถาบันเกษตรกรในการรวบรวมและแปรรูป 1.5 ล้านตัน (3) เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเพื่อเก็บสต๊อก 4 ล้านตัน และ (4) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ พร้อมมาตรการลดต้นทุนการผลิต เช่น ลดราคาปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรผ่าน “ธงเขียว” ทั่วประเทศ

ในด้านการส่งออก รัฐบาลเร่งเจรจาผลักดันการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) โดยเฉพาะกับจีน ภายใต้ MOU เดิม 280,000 ตัน และเสนอขยายเป็น 500,000 ตันในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน พร้อมทั้งเร่งจัดทำ MOU ใหม่กับสิงคโปร์ รวมทั้งการรักษาตลาดเดิมกับญี่ปุ่นไม่น้อยกว่าปีละ 300,000 ตัน และขยายตลาดใหม่อย่าง ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการผลักดันข้าวอินทรีย์ในยุโรปและข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกา

และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบ ทั้งการจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพ การเพิ่มช่องทางตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดน ผ่านงานมหกรรมธงฟ้าในจังหวัดอื่น รวมทั้งกิจกรรมจำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ่านไปรษณีย์ไทย สนับสนุนผู้ส่งออกหาช่องทางใหม่ ผ่านการจับคู่ธุรกิจกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์และเข้าร่วมมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่อื่นๆ 

ในส่วนของ FTA จะเร่งบรรลุข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับอียู ไทยกับเกาหลีใต้ โดยจะพยายามทำให้ได้ภายในรัฐบาลนี้และที่สำคัญต้องผลักดันให้เอกชนมาใช้สิทธิประโยชน์ เพราะการไปเจรจา FTA มากประเทศก็ไม่ได้มีประโยชน์ ถ้าเราไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ โดยจะเร่งรัดสนับสนุนให้ความรู้ในการให้สิทธิประโยชน์กับภาคเอกชนใช้ได้จริงและหาตลาดใหม่เพิ่มเติมทั้งตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกา อาเซียน และเอเชียใต้ 

“อยากเรียนท่านประธานและท่านผู้มีเกียรติด้วยความเคารพ ทางรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและดิฉันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจถึงแม้จะมีเวลาแค่ 4 เดือน แต่เชื่อมั่นว่าจะมีผลสัมฤทธิ์มาแสดงให้ท่านได้เห็น จะปรากฏเป็น KPI ให้ท่านได้ช่วยติดตาม และพร้อมพูดคุยกันเพื่อหาทางร่วมมือทำให้เราสามารถสร้างศักยภาพให้ประเทศไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

กลุ่มไทยออยล์ คว้า 2 รางวัลยั่งยืน

กลุ่มไทยออยล์ คว้า 2 รางวัลในงาน “รวมพลังลดโลกร้อน สู่อนาคตที่ยั่งยืน”

“สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน” จัดคาราวานลงพื้นที่ภาคใต้ 

“สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน” จัดคาราวานลงพื้นที่ภาคใต้ หนุนประชาชนเข้าถึงบริการการเงินอย่างทั่วถึง

นายกฯ อนุทิน มุ่งสร้างความอยู่ดีมีสุขให้คนไทย

นายกฯ อนุทิน  แถลงนโยบายรัฐบาล มุ่งสร้างความอยู่ดีมีสุขให้คนไทย

‘พรินซิเพิล’ เปิดตัวกองทุนตราสารหนี้มาเลเซีย 

‘พรินซิเพิล’ เปิดตัวกองทุนตราสารหนี้มาเลเซีย กองแรกของไทย PRINCIPAL MYRFIUH จุดเด่นพอร์ตตราสารหนี้คุณภาพดี