
นายธงชัย ศิริธร รองประธานสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมงาน (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติภารกิจตามร่างกฎหมาย EPR ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างระบบจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ผลิตมีบทบาทและความรับผิดชอบต่อต่อบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะการออกแบบบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้สามารถรีไซเคิลหรือใช้ซ้ำได้ง่ายขึ้น ตามแนวคิด “Eco-design”
“สิ่งสำคัญ คือ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้รองรับการเก็บกลับและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดของเสียจากการฝังกลบ และเพิ่มโอกาสในการหมุนเวียนวัสดุกลับสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น”
แม้การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ ยังมีความท้าทายทั้งในเรื่องเทคโนโลยี ความรู้ และความเข้าใจในกระบวนการที่แท้จริง แต่ TIPMSE มองว่า นี่คือ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก จึงได้ริเริ่มกระบวนการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยอ้างอิงแนวทาง (Guideline) และหลักเกณฑ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งพร้อมเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของไทย
“เป้าหมายร่วมกัน คือ การทำให้บรรจุภัณฑ์สามารถกลับมาเป็นวัตถุดิบในระบบรีไซเคิลได้จริง สร้างประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมในระยะยาว” นายธงชัย กล่าวเสริม
นายทวีชัย เจียรนัยขจร ผู้อำนวยการส่วนลดและใช้ประโยชน์ของเสีย กรมควบคุมมลพิษ ชี้ถึงมุมมองความสำเร็จของการนำหลักการ EPR มาพัฒนาเป็นกฎหมายบังคับใช้ ส่วนหนึ่งจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนและส่งเสริมผู้ผลิตให้พัฒนา Eco-design เหมือนที่ TIPMSE ดำเนินการให้ความรู้ผ่านการอบรม สัมมนา รวมถึงกิจกรรมวันนี้ หรือการจับมือร่วมกับภาคเอกชนเดินหน้าพัฒนา Guideline เพื่อยกระดับสู่มาตรฐาน เพราะการเตรียมการตั้งแต่การออกแบบเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วสามารถนำไปหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้ทรัพยากรและลดปัญหาขยะของประเทศไทยได้ อีกทั้งการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ที่สอดรับกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าได้อีกด้วย ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ คือ ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งหาทางออกและปรับตัว หากต้องการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป
ด้านนายสุนทร ยงค์วิบูลศิริ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะหัวหน้ากลุ่มงาน Eco-design ของสถาบัน TIPMSE ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนา Eco-design ที่กลุ่มงานกำลังดำเนินการ อยู่ในเป้าหมายที่ 4 ของการขับเคลื่อน EPR ของ ส.อ.ท. ซึ่งเน้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถรีไซเคิลได้ง่าย โดยกลุ่มงานมุ่งเน้นทั้งการพัฒนาแนวทางการออกแบบ และการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนปรับตัว ซึ่งหากดำเนินการตามเป้าหมายได้สำเร็จ Guideline ที่จัดทำขึ้นจะถูกยกระดับเป็น “มาตรฐานกลาง” ที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในระบบ EPR โดยเฉพาะการกำหนดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ EPR ที่แตกต่างกันตามระดับความสามารถในการรีไซเคิลของบรรจุภัณฑ์ แม้เป็นประเภทเดียวกันก็อาจมีความยากง่ายต่างกันในการจัดเก็บและนำกลับมาใช้ใหม่
มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เริ่มบังคับใช้ อาจกระทบกับผู้ผลิตรายใหญ่ในช่วงแรก เพราะทำให้ตลาดต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลายบริษัทก็เริ่มปรับเปลี่ยนตามเทรนด์มากขึ้นแล้ว แต่สำหรับผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก ยังลังเลเพราะไม่มั่นใจในทิศทางนโยบายของประเทศ และมีข้อจำกัดด้านเงินทุน ดังนั้น กลุ่มนี้จึงยังรอความชัดเจนอยู่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มนี้ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเริ่มเรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง รวมถึงอาจหาโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีแสดงความคิดเห็นหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นแนวทางปรับตัวได้ดีขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา TIPMSE ได้ดำเนินการด้านการจัดการบรรจุภัณฑ์ในหลายมิติ ทั้งเรื่องการส่งเสริมการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ การให้ความรู้กับภาคส่วนต่างๆ การพัฒนาแนวทาง Eco-design รวมถึงการมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นต่อร่างกฎหมายของประเทศ ซึ่งทุกภารกิจต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ผลิต ซึ่งถือเป็นกลุ่มสำคัญที่ต้องเดินไปด้วยกัน
ตั้งแต่ปี 2567 TIPMSE ได้เริ่มขับเคลื่อนแนวทาง Eco-design อย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มต้นใน ระยะที่ 1 (ปี 2567-2568) กับบรรจุภัณฑ์ 3 ประเภท ได้แก่ ขวด PET สำหรับเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ HDPE สำหรับสินค้าในครัวเรือนและดูแลร่างกาย รวมทั้งบรรจุภัณฑ์หลายชั้น (Multi-layer Flexible Packaging หรือ MLP) ซึ่งในแต่ละประเภท จะมีสมาชิก TIPMSE ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดูแลเฉพาะด้าน โดยได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ผู้ใช้บรรจุภัณฑ์ ผู้รวบรวมและโรงงานรีไซเคิล ไปแล้วจำนวน 2 ครั้ง และเตรียมจัดอีก 1 ครั้ง ก่อนยกระดับแนวทางไปสู่ “มาตรฐานที่สามารถตรวจสอบได้”
แม้งานในระยะที่ 1 จะยังดำเนินการอยู่ แต่ TIPMSE ก็ได้เดินหน้าต่อในระยะที่ 2 (ปี 2568-2569) ด้วยการขยายประเภทของบรรจุภัณฑ์เพิ่มอีก 5 ประเภท ได้แก่ บรรจุภัณฑ์แก้ว บรรจุภัณฑ์กระดาษ กระป๋องอะลูมิเนียม กระป๋องเหล็ก และกล่องเครื่องดื่ม โดยมีเป้าหมาย คือ การพัฒนาแนวทาง Eco-design ที่ครอบคลุมบรรจุภัณฑ์ทุกรูปแบบ ตามร่างพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรจุภัณฑ์สามารถรีไซเคิลได้จริง และรองรับกฎหมายในอนาคตอย่างเป็นระบบแม้กฎหมาย EPR จะยังไม่บังคับใช้ แต่ทุกภาคส่วนก็เริ่มตื่นตัวและให้ความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลก และอีกเหตุผลสำคัญ คือ ความตระหนักถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เพราะทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด และสิ่งแวดล้อมกำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรายเล็ก รายกลาง หรือรายใหญ่ ต่างก็มีบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนไปกับ TIPMSE ได้ เพื่อช่วยกันสร้างระบบจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และเตรียมความพร้อมสู่อนาคต