
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจพลาสติกและเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต และ บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด หรือ PE LNG ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่าง บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในสัญญาความร่วมมือโครงการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับโรงผลิตโอเลฟินส์ของ GC ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม
นายนรินทร์ เผ่าวณิช ประธานกรรมการ บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด กล่าวว่า “พิธีลงนามสัญญาโครงการนี้ ระหว่าง GC และ PE LNG เป็นโครงการที่ใช้พลังงานความเย็นจาก LNG มาลดต้นทุนในกระบวนการผลิต และใช้ทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือของทั้งสององค์กร จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตอบสนองเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของประเทศต่อไป” นายนรินทร์กล่าว
นายสมชาย ระมาศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการนี้ตั้งอยู่บริเวณสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุดแห่งที่ 2 ณ บ้านหนองแฟบ จังหวัดระยอง ซึ่งจะเป็นการส่งพลังงานความเย็นจาก LNG ผ่านสารตัวกลาง ไปยังโรงงานผลิตโอเลฟินส์ของ GC โดยได้รับอนุมัติอัตราค่าความเย็นจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2570”
“โครงการนี้เป็นความร่วมมือในกลุ่ม ปตท. และ กฟผ. ที่ช่วยต่อยอดธุรกิจด้วยการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นในภาคอุตสาหกรรม ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตอบสนองเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ในอนาคต” นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติม
นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ภายในกลุ่ม ปตท. สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างการเติบโตควบคู่ไปพร้อมกับความยั่งยืน ผ่านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีสะอาด นำพลังงานความเย็นจาก LNG มาใช้ในโรงงานโอเลฟินส์ของ GC ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่สามารถนำพลังงานความเย็นนี้มาใช้ประโยชน์ได้ โดยโครงการนี้สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 60,000 ตันต่อปี เราหวังว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดนวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศต่อไป”
ความร่วมมือนี้จะนำนวัตกรรมการใช้พลังงานความเย็นจาก LNG มาใช้ให้เกิดประโยชน์ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนความเย็นกับสารตัวกลาง ก่อนส่งต่อไปยังโรงงานโอเลฟินส์ของ GC เพื่อใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการใช้ไอน้ำ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 60,000 ตันต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2570
LNG คือ ก๊าซธรรมชาติที่ถูกลดอุณหภูมิลงมาที่ -160 องศาเซลเซียสเพื่อเปลี่ยนสถานะจากก๊าซเป็นของเหลว ทำให้ขนส่งและจัดเก็บได้สะดวก แต่เมื่อนำกลับมาใช้งานในรูปแบบก๊าซอีกครั้ง ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนสถานะ LNG จากของเหลวให้กลับเป็นสถานะก๊าซ ดังนั้นจะมีพลังงานความเย็นจำนวนมากที่เหลือใช้ โครงการนี้จึงนำนวัตกรรมมาช่วยบริหารจัดการความเย็นดังกล่าวให้เกิดมูลค่า แทนที่จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ถือเป็นการต่อยอดการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าเพื่อความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม
โครงการใช้ประโยชน์จาก LNG สำหรับโรงผลิตโอเลฟินส์ของ GC ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการประสานพลัง ปตท. กฟผ. ที่มุ่งสร้างคุณค่าเพิ่มจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
เกี่ยวกับ GC
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ GC มุ่งมั่นเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้นด้วยนวัตกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ตามวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของโลกอนาคต ควบคู่ไปกับการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
GC เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลก ที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ด้วยคะแนนสูงสุด 6 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำระดับ A ในด้านการบริหารจัดการน้ำ ติดต่อกัน 5 ปี ซ้อน (ปี พ.ศ. 2563-2567) และระดับ B ในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จาก CDP ปัจจุบัน GC มีฐานการผลิตและจัดจำหน่ายกว่า 90 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 40 แห่ง ใน 20 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ GC ตั้งเป้าเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่เป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593