นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากการเสนอขายหุ้นกู้ล็อตใหม่ (ครั้งที่ 3/2565) ทั้ง 4 ชุด วงเงินรวมทั้งสิ้น 5,500 ล้านบาท แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ เมื่อวันที่ 25 – 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผ่านทางธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โดยสามารถปิดการขายหุ้นกู้ได้ทั้งหมดตามเป้าหมาย และมีผู้แสดงความต้องการจองซื้อเป็นจำนวนมากกว่าจำนวนหุ้นกู้ที่จัดสรรไว้
หุ้นกู้ล็อตใหม่ทั้ง 4 ชุดที่เสนอขายดังกล่าว เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันและมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ประกอบด้วย 1) หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.89% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ 2) หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2570 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.69% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ 3) หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2572 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.94% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และ 4) หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2575 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.16% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อหุ้นกู้ที่ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ คงที่ โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565
นายวีรสิทธิ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวเพื่อนำไปลงทุนขยายกำลังการผลิตโรงงานยางแท่งและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการขยายกำลังการผลิตยางแท่ง 140,160 ตันต่อปี ที่โรงงานจังหวัดตรัง คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จเริ่มทยอยเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายนและเดือนกันยายนปี 2566 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตยางธรรมชาติในปี 2566 เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนดอกเบี้ยในระดับต่ำ เนื่องจากได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับที่แข็งแกร่ง ขณะที่แผนการดำเนินงานในปีนี้วางเป้าหมายมีปริมาณการขายธรรมชาติทุกประเภทรวม 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากปีก่อนที่มีปริมาณการขายรวมประมาณ 1.3 ล้านตัน