นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2565 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2565 บริษัทมีรายได้รวม 252.81 ล้านบาท ลดลง 17.6% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/2564 ที่มีรายได้รวม 306.83 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ธุรกิจบริการก่อสร้างวางระบบลดลง 42.7% ส่วนธุรกิจขายสินค้าและการให้บริการโครงข่ายยังคงเติบโตต่อเนื่อง
โดยรายได้จากการให้บริการโครงข่ายมียอดเพิ่มขึ้น 28% จาก 81 ล้านบาท เป็น 103.73 ล้านบาท ซึ่งเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 15 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้ามียอดเพิ่มขึ้น 234% จาก 7.09 ล้านบาทเป็น 23.69 ล้านบาท ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นมาจากแผงโซลาร์เซลล์
นายสมบุญ กล่าวว่า กำไรขั้นต้นเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกันกับรายได้ แม้ว่ากำไรจากกิจการบริการติดตั้งวางระบบลดลง 59% แต่ในส่วนธุรกิจให้บริการโครงข่ายเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี เติบโตขึ้นในอัตรา 795.9% จากขาดทุน 1.91 ล้านบาท เป็นกำไร 13.30 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินการในไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 1.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.9% จากกำไร 0.57 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564
ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทยังคงเดินหน้าเพื่อให้บริการโครงข่ายรองรับการเติบโต ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น ASEAN DIGITAL HUB ควบคู่กับการขยายบริการสู่กิจการด้านพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะและพลังงานทดแทน รวมถึงการเสริมสร้างบริการสนับสนุนการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ โดยอาศัยแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มต่างๆ
โดยโครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักแต่เดิม บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก (Backbone Network) ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย โดยมีการลงทุนผ่านกิจการร่วมค้า คือบริษัท สมาร์ท อินฟราเนท จำกัด และ บริษัท อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายในประเทศ และลงทุนผ่าน บริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึง ลงทุนผ่าน บริษัทร่วมคือ เมียนมาร์ อินฟอร์เมชั่น จำกัด ที่เป็นกิจการในเมียนมาร์ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้าในเมืองย่างกุ้ง
รายได้ในส่วนของงานบริการโครงข่ายยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทได้ดำเนินการก่อสร้างสถานีชายฝั่งเพื่อให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายภาคพื้นน้ำ (Cable Landing Station – CLS) ในจังหวัดสตูลแล้วเสร็จ ได้ส่งมอบให้กับลูกค้าแล้วกลางเดือน ส.ค. 2565
จากความสำเร็จในโครงการแรกที่บริษัทได้ให้บริการ CLS กับลูกค้าต่างประเทศที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลรายใหญ่ ได้ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของบริษัท นำไปสู่การขยายฐานลูกค้ารายใหญ่ต่างประเทศเพิ่มได้ อีก 1 ราย โดยมีสัญญาระยะยาว 20 ปี มีมูลค่ารวมตลอดอายุสัญญามากกว่า 1 พันล้านบาท โดยได้ลงนามสัญญากับลูกค้าแล้วในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจบริการจัดการพลังงาน โดยเป็นผู้ลงทุนและติดตั้งระบบและอุปกรณ์โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ให้กับภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดกลาง เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพื่อใช้งาน โดยบริษัทได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าบริหารจัดการพลังงานซึ่งมีราคาถูกว่าค่ากระแสไฟฟ้าที่ลูกค้าต้องจ่าย ลูกค้าไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งยังมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทมีสัญญากับลูกค้าแล้วกว่า 10 ราย ขนาดกำลังการผลิตรวม 10 Mwh สัญญาอายุตั้งแต่ 10-20 ปี มูลค่าสัญญารวมทั้งสิ้นประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ให้บริษัทได้ประมาณปีละ 37 ล้านบาท (กำลังการผลิตเต็มปี)