นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่นรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินของบริษัทในงวดไตรมาส 2/67 มียอดขายอยู่ที่ 3,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท หรือ 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นรายได้จากการขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้ว 2,978 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1% สาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายของกลุ่มส่งออกที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่น จำนวน 707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66 ล้านบาท หรือ 10% จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นแล้วและธุรกิจใหม่ในการซื้อมาขายไป หรือ ธุรกิจ Trading นอกจากนี้การเข้าถือหุ้น 75% ในบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัท
โดยในงวดไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวลดลง การรักษาระดับกำไรและการบริหารจัดการต้นทุน รวมทั้งการขยายผลจากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต
“ไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรขั้นต้น 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152 ล้านบาท หรือ 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18.2% เพิ่มขึ้น 500 bps สาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบ ราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นหลังจากการซ่อมแซมเตาหลอมแก้วแบบเย็น (Cold Repair) ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งบริษัท ได้มีการบริหารจัดการต้นทุน โดยมุ่งเน้นการทำ cost optimization และปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ปรับใช้พลังงานทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยการขยายผลการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ” นายศิลปรัตน์ กล่าว
ขณะที่ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 7,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 7,235 ล้านบาท มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบและพลังงานปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยแผนธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว บริษัทฯ มีการคัดเลือกผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี เน้นให้ความสำคัญในการขยายตลาดส่งออก และการหาลูกค้าใหม่ พร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนไปในอนาคต
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด (Prime) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มที่เข้าไปซื้อหุ้น 75% ในเดือนเมษายน ปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มในประเทศไทย เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจ Flexible Packaging มีรายได้เป็นไปตามคาดประมาณ 100 ล้านบาทต่อไตรมาส ทั้งนี้ ส่วนต่อขยายหรือ Prime B ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา และคาดว่าปีนี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นอย่างต่อเนื่อง
“BGC พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตด้วย Total Packaging Solutions ที่ให้บริการบรรจุภัณฑ์กับลูกค้าอย่างครบวงจร เราไม่เพียงแค่รับผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว แต่ยังนำเสนอบริการอื่นให้แก่ลูกค้าเพื่อเลือกซื้อฉลากหรือบรรจุภัณฑ์อื่นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจะเป็น One Stop Service ให้กับลูกค้า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจและสร้าง New S – Curve บริษัทฯ ยังได้มีการลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนในบริษัท บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ราว 5% เพื่อสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจของบริษัทอีกด้วย” นายศิลปรัตน์ กล่าว