KCG โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/67 กำไรเพิ่ม 86%

Date:

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG  ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ สัญชาติไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 เติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มียอดขายรวม 1,688.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% และมีกำไรสุทธิ 94.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) มียอดขาย 1,022.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.6% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่และอื่นๆ (FBI) มียอดขาย 486.7 ล้านบาท สัดส่วน 28.8% และผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) มียอดขาย 179.6 ล้านบาท สัดส่วน 10.6% สำหรับช่องทางการขายให้ผู้ประกอบการ (B2B) มียอดขาย 731.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43.3% ช่องทางการขายให้ผู้บริโภค (B2C) มียอดขาย 863.8 ล้านบาท สัดส่วน 51.1% และช่องทางการส่งออกยอดขาย 94.0 ล้านบาท สัดส่วน 5.6%

“ไตรมาสที่สองของปีนี้ แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซัน ประกอบกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกและการค้าโลกที่อาจชะลอตัว แต่ยอดขายของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2567 กลับเพิ่มขึ้นถึง 8.2% โดยมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ายอดขายในไตรมาส 1/2567 ที่เติบโตได้ 4.5% รวมทั้งมีรายได้เติบโตในทุกพอร์ตฟอลิโอ ทั้งการทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในตลาดผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม และการทำยอดขายสูงสุดติด 5 อันดับแรกในตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับประกอบอาหารและเบเกอรี่และอื่นๆ รวมทั้งตลาดผลิตภัณฑ์บิสกิต ซึ่งสาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตสวนกระแส เป็นผลมาจากการดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 7 มิติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ทั้งจากการปรับปรุงเครื่องจักรและการใช้อัตรากำลังผลิตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การปรับปรุงหน่วยสินค้า (SKU Rationalization) ที่สำคัญคือพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 ออกมาอย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะกำไรที่เติบโตสูงมากถึง 86.3%” นายดำรงชัยกล่าว

สำหรับในไตรมาส 3/2567 นอกจากการดำเนินงานตามกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องแล้ว KCG ยังได้เปิดใช้งานศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park อย่างเต็มรูปแบบทั้ง 6 อาคาร โดยสามารถเก็บวัตถุดิบและสินค้าทั้งหมดได้ครบทุกอุณหภูมิ ได้แก่ อุณหภูมิปกติ (Ambient) ปรับอากาศ (Air-conditioned) แช่เย็น (Chilled) และแช่แข็ง (Frozen) โดย KCG Logistics Park ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างยั่งยืน และช่วยลดค่าเช่าคลังสินค้าภายนอกได้ สอดรับกับแผนขยายไลน์การผลิตเนยจากการร่วมมือของ 5 พันธมิตร เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทจะใช้เงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและยกระดับศักยภาพการผลิต พร้อมกับนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ KCG ยังดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จนได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็น 1 ในหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ปี 2567 ที่ได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบ ESG 100 เป็นครั้งแรก ตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ สัญชาติไทย

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

EXIM BANK จับมือพันธมิตรจัดกิจกรรม สร้างโอกาสผู้ประกอบการไทย

EXIM BANK จับมือพันธมิตรจัดกิจกรรม “Global Business Matching 2025” สร้างโอกาสการค้าผู้ประกอบการไทย รุกตลาดโลกอย่างมั่นใจ

ธ.ก.ส. คว้ารางวัลสุดยอดองค์กรแห่งความเป็นเลิศระดับโลก

ธ.ก.ส. คว้ารางวัลสุดยอดองค์กรแห่งความเป็นเลิศระดับโลก Global Performance Excellence Award 2025 ระดับสูงสุด World Class

เมืองไทยยูนิตลิงค์ เปิดตัว mDesign เพิ่มทางเลือกใหม่ 

เมืองไทยยูนิตลิงค์ เปิดตัว mDesign เพิ่มทางเลือกใหม่ ‘จ่ายเบี้ยสั้น’ คุ้มครองชีวิตยาว พร้อมบริการบริหารพอร์ตฟรี

คปภ. พร้อมออกเกณฑ์กำกับกลุ่มบริษัทประกันภัย

คปภ. เดินหน้าจัดทำร่างหลักการ Full Consolidation พร้อมออกเกณฑ์กำกับกลุ่มบริษัทประกันภัย ภายในไตรมาส 2 ปี 2569