นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ประกอบด้วย 1) ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะยังคงขยายตัวได้และไม่เกิดภาวะถดถอย ตามที่ตลาดกำลังคาดการณ์หรือไม่ 2) ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก เนื่องจากแนวนโยบายของทั้ง 2 พรรคแตกต่างกัน 3) ทิศทางธุรกิจเทคโนโลยีว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่องหรือไม่ และ 4) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในด้านอื่นๆ ต่อจาก Digital wallet คืออะไร ทั้งนี้ มีความเห็นว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วง เดือน ส.ค – ก.ย.เนื่องจาก “วิกฤตความเชื่อมั่นคลี่คลาย” ส่งผลให้ราคาหุ้นกลับไปสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากค่าเฉลี่ย 8 เดือนของปี 2567 นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่อง และทำให้ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนที่ใกล้เคียงตลาดหุ้นเพื่อนบ้านมากขึ้น”
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า “เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวได้ดี แม้ในระยะถัดไปประเทศหลักจะเริ่มชะลอลงในลักษณะ soft-landing การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ธนาคารกลางอื่นๆ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตาม ช่วยหนุนความน่าสนใจของตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (EM) รวมถึงประเทศไทย ด้านอัตราเงินเฟ้อยังชะลอตัว เมื่อมองไปข้างหน้าเงินเฟ้อที่มาจากราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงได้ต่อ จากตลาดน้ำมันที่เริ่มกำลังพลิกเข้าสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินจากอุปสงค์ที่ชะลอตัว และอุปทานที่เพิ่มต่อเนื่อง ทั้งนี้แนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจและการจ้างงานสหรัฐฯ หลังการลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจของจีนที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายของทางการที่ 5% การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและการเมืองระหว่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยติดตามมาตรการของรัฐบาลใหม่ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะเป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวของ SET Index ในระยะถัดไป”
ด้าน ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ในไตรมาส 4 ปี 2567 เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และการเมืองโลกจะเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเศรษฐกิจหลักจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคการผลิต ดอกเบี้ยจะเข้าสู่ยุควัฏจักรขาลง หลังจากเฟดลดดอกเบี้ยเชิงรุก ขณะที่การเมืองโลกจะเปลี่ยนแปลงและผันผวน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ผู้สมัครประธานาธิบดีทั้ง 2 ฝั่งมีนโยบายเศรษฐกิจต่างกัน ในส่วนของทิศทางเศรษฐกิจโลกนั้น เศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัว 0.8% ในปีนี้ น้อยกว่าสหรัฐฯ ที่ขยายตัว 2.3% เศรษฐกิจจีนจะชะลอลงสู่ 4.8% และญี่ปุ่นจะชะลอลงสู่ 0.0% ด้านเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอลงจากปัจจัยการเมืองและนโยบายการเงินการคลังตึงตัว อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลสามารถผลักดันนโยบาย Digital Wallet ได้สำเร็จ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 4 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5% ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5% ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1.0% ในปี 2567 และ 2568 เพื่อสนับสนุนการเติบโต นอกจากนั้นการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทด้วยเช่นกัน”
ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยถึง “กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4 ปี 2567 คาดว่าตลาดจะมีความผันผวนสูงจากปัจจัยกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่โพลสำรวจยังค่อนข้างสูสี ขณะที่นโยบายของผู้สมัครทั้ง 2 ฝ่าย มีความแตกต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตามการลดดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตดีเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว (DM) ส่วนดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (EM) และประเทศไทย ด้านปัจจัยในประเทศยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการออกนโยบายเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่ ทำให้ SET Index ยังจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ท่ามกลางความผันผวน ประเมินเป้าหมาย SET Index จะปรับตัวขึ้นและแตะระดับ 1,500 จุดภายในสิ้นปี 2567 และ 1,550 จุดในปี 2568 ชี้เป้าหุ้นเด่น เน้นโฟกัสบริษัทที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ BDMS CPALL GPSC HANA และ LHHOTEL”
“ในขณะที่หุ้นต่างประเทศภายหลังจากเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยลดทอนผลกระทบจากเศรษฐกิจและการจ้างงานที่เริ่มชะลอตัวในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีความน่าสนใจ โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ กลุ่มซ่อมแซมตกแต่งบ้าน (HD, LOW) กลุ่มพลังงานสะอาด (FSLR, ENPH ) หุ้นที่มี Valuation ไม่แพงและปันผลสูง (VZ, PFE, F, TGT) หุ้นเทคโนโลยีที่ผลประกอบการยังมีแนวโน้มดี (MSFT, AMD, CRM, PANW, NVDA) นอกจากตลาดสหรัฐเรามองว่าการลงทุนต้องเน้นเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีมากกว่าประเด็นความถูกของการประเมินมูลค่าหุ้น โดยในตลาดยุโรปเรามองหุ้นที่เน้นไปยังพลังงานสะอาดและได้ Sentiment จากดอกเบี้ยขาลงอย่าง Iberdrola และ Enel ส่วนกลุ่มเทคโนโลยีเน้นไปที่กลุ่มที่อิงกับอุตสาหกรรมยานยนต์น้อยอย่าง ASML, SAP ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนให้เน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมใหม่อย่าง China Mobile, CATL, CRRC, SMIC และหุ้นที่มีพื้นฐานดีและผันแปรจากปัจจัยภายนอกน้อยอย่าง BYD, Luxshare, Tencent, Trip.com, Xiaomi นอกจากนั้นหุ้นในตลาดเอเชียที่มีอัตราการเติบโตดีได้แก่ FPT, Hon Hai, Infosys, MediaTek, SK Hynix, TSMC”
นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า “สถานการณ์การลงทุนในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 นั้นเต็มไปด้วยความผันผวนและคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาสสุดท้ายของปี ไปจนกว่าเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์จะสิ้นสุดลง ได้แก่ 1. ผลกระทบของการลดดอกเบี้ยเฟดในครั้งแรก 2. ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3. การปรับลดมุมมองความคาดหวังด้านการเติบโตในหุ้นขนาดใหญ่”
“InnovestX ยังคงมุมมองภาพการเกิด Soft-landing อันสะท้อนผ่านการชะลอตัวของเงินเฟ้อและการจ้างงานของสหรัฐฯ ในขณะที่การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ นั้นยังคงขยายตัวได้ในระดับที่เหนือกว่าการเติบโตในระยะยาวที่ 1.8% เราประเมินว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวมจะผันผวนในช่วงครึ่งแรกของไตรมาสที่ 4 และจะเริ่มฟื้นตัวได้หลังการเลือกตั้งจบลง เราจึงแนะนำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการถือครองการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ ลง ตลอดจนหุ้นไทยที่ฟื้นตัวขึ้นมารับข่าวการเมืองในระยะสั้น และกระจายการลงทุนใน US Small Cap Value เพิ่มเติมสำหรับรองรับการลดดอกเบี้ยและการเลือกตั้งที่จะมาถึง รวมถึงปรับมุมมองเพิ่มในตราสารหนี้ที่มีทิศทางการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้และปีหน้าที่ชัดเจนมากขึ้น โดย InnovestX กลับมาเพิ่มสัดส่วนเงินสดในระยะสั้นเป็นครั้งแรกในรอบปี เพื่อสำรองสภาพคล่องสำหรับการลงทุนใหม่ที่จะมาถึง ด้วยธีมการลงทุนดังกล่าวเราจึงขมวดมุมมอง Soft-landing , Neutralize Political Risk และ Rate cut cycle ผ่านกองทุน ASP-USSMALL ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ คุณภาพขนาดเล็ก , กองทุนเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A เพื่อรับประโยชน์กรณีสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และกองทุนทองคำ BGOLD เพื่อรับการขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต่อจากนี้”