นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ในงวดไตรมาส 2/2565 มีรายได้จากการขายและการบริการ จำนวน 46,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 270.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
“หลังจากภาครัฐประกาศเปิดประเทศเต็มระบบ ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา เพราะมีการเดินทางและการท่องเที่ยวคึกคักขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีปริมาณการใช้และจำหน่ายน้ำมันขยายตัวตาม ส่งผลให้ปริมาณการขายน้ำมันของบริษัทฯ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปริมาณจำหน่ายน้ำมัน กว่า 1,367 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 5.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ 96.2% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งหมด หรือ 1,315 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 7.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศที่เพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน” นายพิทักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการบริการ ในไตรมาส 2/2565 จำนวน 46,307 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากธุรกิจน้ำมัน เพิ่มขึ้น 37.7% และธุรกิจ Non-Oil ยังคงมีอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีรายได้ 2,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.1% ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 1,317 สาขา เพิ่มขึ้น 331 สาขา หรือ 33.6%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นทั้งสิ้น 3,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปรับราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นและมีการบริหารต้นทุนได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ค่าการตลาดเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ ซึ่งกำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ำมัน ยังเป็นธุรกิจหลักมีสัดส่วน 84.0% และ อีก 16.0% เป็นกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
“กำไรขั้นต้นจาก ธุรกิจ Non-Oil แบ่งเป็นธุรกิจแก๊ส LPG ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (ATL) 7.6% ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 2.5% และธุรกิจอื่น ๆ 5.9% ได้แก่ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ธุรกิจน้ำมันเครื่อง และธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs เป็นต้น” นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ ยังกล่าวอีกว่า ผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 85,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.0 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็น รายได้จากการขายและบริการในส่วนของธุรกิจน้ำมัน เพิ่มขึ้น 28.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจน้ำมัน 95.3% และรายได้จากธุรกิจ Non-Oil ในส่วนของธุรกิจ LPG ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจการให้บริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ และธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น 57.7% จากการขยายสาขาในธุรกิจ Non-Oil และการเติมเต็มการให้บริการที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil ทั้งสิ้น 1,317 สาขา
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ วางแผนใช้งบลงทุน ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งการขยายสาขาและจำนวน Touchpoint ทั้งหมด 3,582 สาขา แบ่งเป็น สถานีบริการน้ำมัน จำนวน 2,010 สาขา, ธุรกิจ Non-Oil จำนวน 1,572 สาขา, สถานี LPG และ Mix จำนวน 252 สาขา, F&B, CVS และ Services จำนวน 1,320 สาขา เป็นต้น
“บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 6 – 10% และอัตราการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ประมาณ 50 – 60% รวมถึงอัตราการเติบโตของยอดขาย Non-Oil ประมาณ 80 – 90% และอัตราการเติบโตของ EBITDA 15 – 20% จากครึ่งปีแรกบริษัทฯ มี EBITDA อยู่ที่ 3,092 ล้าน จึงเชื่อว่า ภายในปีนี้ บริษัทฯ จะมีรายได้และกำไรเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน” นายพิทักษ์ กล่าว