บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ปี 2567 รายได้โตร้อยละ 3

Date:

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 2567 ความต้องการของตลาดในอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตลาดภายในประเทศในอาเซียนมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์จากประเทศจีนเริ่มฟื้นตัว และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม จากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ปีที่ผ่านมา SCGP ได้รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยปรับกลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นการขายภายในประเทศในอาเซียนรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณการขาย ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ส่งผลให้ยังรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน อีกทั้งได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนในกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพเติบโต อย่าง Healthcare Supplies การเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ส่วนการบริหารวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) SCGP ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรภายในประเทศเพื่อจัดหาและใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลในประเทศที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินในอินโดนีเซียด้วย

ทำให้ปี 2567 SCGP มีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA 16,127 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 3,699 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 31,231 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,845 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสำหรับงวด 57 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 105 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้นและราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงการรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซียและผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง 

จากผลการดำเนินงานของปี 2567 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 21สิงหาคม พ.ศ. 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

เบทาโกร

นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาส 1 ปี 2568 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการบริโภคภายในประเทศกลุ่มอาเซียนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษีการค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ปี 2568 SCGP ได้วางแผนงบลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 18,000 ล้านบาท โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ (1) เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โฟกัสการขายที่ตลาดภายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสร้างการเติบโตในสินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงอย่าง Healthcare Supplies (2) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การปรับปรุงต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนในปี 2568 ได้ประมาณ 600 ล้านบาท (3) พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการพัฒนากระบวนการ และบริการ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร โดยตั้งงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 1 โดยประมาณของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้รวม และ (4) มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยวางเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 39 ในปี 2568

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บุกตลาดโรงแรมหรูและไลฟ์สไตล์ในญี่ปุ่น

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือ รอยัล โฮลดิ้งส์ บุกตลาดโรงแรมหรูและไลฟ์สไตล์ในญี่ปุ่น

กรมพัฒนาธุรกิจฯ พร้อมเอาผิดตั้งบริษัทผีหลอกประชาชน

กรมพัฒนาธุรกิจฯ พร้อมเอาผิดตั้งบริษัทผีหลอกประชาชน และแจ้งที่ตั้งเท็จย้ำ! ทำอยู่ ทำอีก เร่งคุมกำเนิดบัญชีม้านิติบุคคลจนกว่าจะสูญพันธุ์

EGCO Group ปิดดีลขายหุ้นโรงไฟฟ้า RISEC ในอเมริกา

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ปิดดีลขายหุ้น 49% ใน RISEC Holdings, LLC (RISEC)

CPAC อัปเลเวลความกรีน เปิดตัวรถโม่พลังงานไฟฟ้า

CPAC อัปเลเวลความกรีน เปิดตัวรถโม่พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในภาคเหนือ “CPAC EV Mixer Truck” ต้นแบบการขนส่ง Green Logistics