
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากสงครามการค้าสหรัฐฯ ธนาคารทิสโก้ได้ประเมินทางเลือกการลงทุนออกเป็น 3 ทางเลือก ได้แก่ 1.ทางรอดเมื่อโลกแย่ เหมาะลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และอีก 2 ทางเลือกการลงทุนเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว คือ 1. กำไรไม่แคร์สงครามการค้า และ 2. MEGATRENDS โตดี…ไม่ต้องลุ้น อย่างไรก็ตาม
สถานการณ์ปัจจุบัน ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้าเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนใน “Global Bond” หรือกองทุนตราสารหนี้โลก ซึ่งเป็นหนึ่งสินทรัพย์การลงทุนที่อยู่ในแนวทาง “ทางรอดเมื่อโลกแย่” ซึ่งจากสถิติพบว่าหากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ตราสารหนี้โลกมีโอกาสสร้างผลตอบแทน 8% ในช่วง 12 เดือน
“การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง หลายประเทศยังไม่มีข้อตกลงการค้าที่ชัดเจน ขณะที่มาตรการระงับการขึ้นภาษีชั่วคราวจะสิ้นสุดในวันที่ 9 กรกฏาคมนี้ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ประกอบกับอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond Yield) ในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุนรับอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูงไปพร้อมๆ กับรับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหน้าตั๋ว” นายณัฐกฤติ กล่าว
ทั้งนี้ ข้อดีของ Global Bond คือ เป็นสินทรัพย์ทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนเนื่องจากกองทุนอาจเลือกลงทุนในตราสารหนี้จากหลากหลายภูมิภาคและสกุลเงิน นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedge) หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจนเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อของประเทศอื่นที่มีแนวโน้มต่ำกว่าของสหรัฐฯ ทำให้มีช่องว่างในการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้มากกว่า
อีกทั้ง หากสถานการณ์การค้าโลกทวีความรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนใน Global bond ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอช่วงระหว่างช่วง 6 เดือนก่อนและหลังเกิด Recession โดย 30 ปีที่ผ่านมาดัชนี Global Bond ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6 เดือนก่อน Recession ราว 5% และ 6 เดือนหลัง Recession ราว 3% รวม 12 เดือนเฉลี่ย 8% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาวของดัชนี Global bond ที่ให้ผลตอบแทนปีละ 3.3% กว่า 2 เท่า
ขณะที่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด (Yield-to-maturity) ของดัชนี Global bond ในปัจจุบันยังคงอยู่ที่ราว 3.6% ต่อปี สูงกว่าตราสารหนี้ไทยที่อยู่ที่ 1.7% ต่อปี หรือสูงกว่า 1 เท่าตัวเลยทีเดียว และยังคาดหวังส่วนต่างราคาได้หากดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ ยังปรับลดลงต่อเนื่อง
นายณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า สำหรับมุมมองในส่วนของสถานการณ์เศรษฐกิจนั้น หากการเจรจาการค้าไม่คืบหน้าก็มีความเสี่ยงที่อัตราภาษีจะถูกปรับไปอยู่ในระดับสูงอีกครั้งตามประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนภาคธุรกิจทั่วโลก ขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในหลายประเทศที่ปรับลงมาต่ำกว่า 50 จุด สะท้อนให้เห็นห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรมกำลังแย่ลงและหลายบริษัทแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะภาษีศุลกากรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและภาคธุรกิจอาจชะลอการลงทุนลดการจ้างงานลง นอกจากนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียนแนวโน้มลดลงจากต้นทุนการนำเข้าที่อาจสูงขึ้น ดังนั้น จึงยังมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะผันผวนได้เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสองออกมาแย่ลงจากผลของภาษีนำเข้า