นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีปัญหาในลักษณะวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลวิกฤตด้านราคาพลังงานและอาหารโลก เป็นสาเหตุสำคัญอัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก เป็นแรงกดให้ธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึง 3.80% เป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในตลาดที่เพิ่งเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย แม้จะมีสถานการณ์ดีขึ้นจากการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ภาคการส่งออกเริ่มเติบโตชะลอลง และความผันผวนในตลาดการเงินโลก
ดังนั้นประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งละ 0.25% ในการประชุม กนง. ปีนี้ที่ยังเหลืออีก 3 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทยอยปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.50% ไปเป็น 1.25% ในช่วงปลายปีนี้
“ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก อยู่ที่ 0.50% มาเป็นระยะเวลานาน เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่อัตราเงินเฟ้อสูง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก และเงินสำรองระหว่างประเทศที่เริ่มลดลงมาพอสมควร จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้” นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์ความผันผวนในตลาดการเงินโลก รวมถึงภาวะเศรษฐกิจติดลบ จะยังคงดำเนินไปอีกระยะหนึ่ง อาจเกิดผลกระทบเป็นระลอก ซึ่งประเทศไทยยังมีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณ 1 ปี เพื่อตั้งรับสถานการณ์ดังกล่าว โจทย์สำคัญคือ ต้องมองหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาทดแทนภาคการส่งออก การบริโภคในประเทศ และไทยเที่ยวไทย ที่ไม่น่าจะมีกำลังมากพอแล้ว โดยแนะนำให้โฟกัสที่ภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่กำลังเติบโตขึ้น การลงทุนโครงสร้างพื้นที่อนุมัติมาก่อนหน้านี้แล้ว ควรขับเคลื่อนและดำเนินการลงทุนอย่างจริงจัง รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ที่มองว่าอาเซียนน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีความน่าสนใจมากสำหรับนักลงทุนที่กำลังหาทางเลือกอื่น นอกเหนือจากจีนและยุโรปที่กำลังมีปัญหา