5 ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อ 

Date:

ดร.สักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เขียนบทความเรื่อง “5 ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อ” ระบุวา

ช่วงหลังผมเจอคำถามบ่อยขึ้นว่า การที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อลดลงมาจากที่ ธปท. “ดูดสภาพคล่อง” ออกจากระบบมากเกินไปหรือไม่ เพราะถ้าคิดง่าย ๆ ว่าเมื่อสภาพคล่องในระบบการเงินต่ำลง สภาพคล่องในระบบธนาคารก็น่าจะตึงตัวไปด้วย ทำให้ปล่อยสินเชื่อได้น้อยลง (เปรียบง่ายๆ เหมือนสภาพคล่องในระบบการเงินเป็นน้ำที่ ธปท.ดูดหรือปล่อยผ่านภาคธนาคาร และส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจ) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) เองก็ไม่อยากปล่อยสินเชื่อเพราะจะเอาเงินมาฝาก ธปท. เพื่อรับดอกเบี้ย ตรรกะสองเรื่องนี้ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลอยู่ ทำให้คนฟังคล้อยตามง่าย แต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง ผมจึงขอใช้โอกาสนี้อธิบายข้อเท็จจริง 5 ประการ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการดูดปล่อยสภาพคล่องของ ธปท. และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ 

ข้อเท็จจริงที่ 1: ระบบธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่มากตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจากตัวเลขยอดเงินฝากและเงินลงทุนของ ธพ. ที่อยู่ที่ ธปท. ในช่วงที่ผ่านมา สูงถึง 4-5 ล้านล้านบาท (รูปที่ 1) ซึ่งจะเห็นว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างนิ่ง ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงมาก และการเปลี่ยนแปลงที่พอจะเห็นนี้ หลักๆ ก็มาจากการดูดหรือปล่อยสภาพคล่องของ ธปท. จากผลของการเข้าดูแลความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
 

จากตัวเลขที่เห็น การที่ ธปท. ต้องดูดสภาพคล่องจากระบบ ธพ. จำนวนมาก สะท้อนว่าภาคธนาคารมีสภาพคล่องระยะสั้นจำนวนมากและเพียงพอ ซึ่งแปลว่าไม่ได้ขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชน แต่เป็นเหตุผลอื่นที่ทำให้ ธพ. เลือกที่จะไม่ปล่อยสินเชื่อ

ข้อเท็จจริงที่ 2: แบงก์ชาติไม่ได้กำหนดปริมาณการดูดซับสภาพคล่องในแต่ละวัน แต่เป็น ธพ. ที่จะบริหารจัดการสภาพคล่องในแต่ละวันและนำสภาพคล่องส่วนเกินมาฝากกับ ธปท. ตามความเหมาะสมของธนาคารแต่ละแห่ง โดยจะเห็นได้ว่าธุรกรรมที่ ธพ. ทำกับ ธปท. เกือบทั้งหมด (42.4%) เป็นธุรกรรมระยะสั้น ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนต่ำ ซึ่งแปลว่า หาก ธพ. ต้องการใช้สภาพคล่องนั้น ก็สามารถมาถอนออกไปได้ในระยะเวลาไม่นาน

จากข้อเท็จจริงที่ 1 และ 2 จึงบอกได้ว่า การดูดซับสภาพคล่องของ ธปท. ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของ ธพ. ซึ่งถ้าไปดูข้อมูลย้อนหลังจะเห็นได้ชัดเจนว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อของ ธพ. ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับยอดเงินฝากและยอดเงินลงทุนของ ธพ. ที่ไว้กับ ธปท. 

ข้อเท็จจริงที่ 3: แบงก์ชาติไม่ต้องดูดหรือปล่อยสภาพคล่องเพิ่มเติม เมื่อมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลายท่านที่ถามผมมักคิดว่าเมื่อ ธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จำเป็นต้องมีการดูดหรือปล่อยสภาพคล่อง เพื่อดูแลปริมาณเงินในระบบให้เหมาะสม เช่น ถ้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. ต้องดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบเพิ่มขึ้น เพื่อลดอุปทานของสภาพคล่องและทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับสูงขึ้น แต่ในความเป็นจริง ธปท. ไม่ต้องปรับการดูดสภาพคล่อง เนื่องจากตลาดมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำธุรกรรมกับ ธปท. ได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินอยู่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดย ธปท. ไม่จำเป็นต้องปรับสภาพคล่องในระบบ (หากท่านสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ผมขอแนะนำบทความ FAQ ที่ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ได้เคยอธิบายไว้ เมื่อปี 2554 

ข้อเท็จจริงที่ 4: การตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของ ธพ. ขึ้นอยู่กับ 1) ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้หากลูกหนี้มีภาระหนี้สูง หรือธุรกิจมีความเสี่ยงด้าน credit มากขึ้น โอกาสที่จะชำระคืนหนี้ได้ครบก็จะลดลง ซึ่งธนาคารอาจประเมินว่ารายได้จากดอกเบี้ยอาจจะไม่คุ้มเมื่อเทียบกับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะมีต้นทุนต่างๆ ในการดำเนินการตามมา รวมถึงกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย และ 2) ระดับความเสี่ยงที่ ธพ. ยอมรับได้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามแนวโน้มการดำเนินธุรกิจ สภาวะทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของแต่ละธนาคาร เช่น ในช่วงที่หนี้ครัวเรือนสูงและคุณภาพสินเชื่อด้อยลง ธนาคารอาจระมัดระวังการปล่อยกู้แก่ภาคครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง

ทั้งนี้ ในบทบาทของแบงก์ชาติ การแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs จำเป็นต้องมีแนวทางที่ช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตรงจุดและยั่งยืน ซึ่งแบงก์ชาติและกระทรวงการคลังได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยระยะสั้นได้ผลักดันให้มีกลไกการลดความเสี่ยงของลูกหนี้ ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS (Portfolio Guarantee Scheme) ของ บสย. ที่จะเน้นช่วยกลุ่มเปราะบาง และผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ และผู้ประกอบการใหม่ ขณะที่ระยะยาว อยู่ระหว่างผลักดันให้มีการจัดตั้ง “สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ” (National Credit Guarantee Agency (NaCGA)) เพื่อยกระดับให้กลไกการค้ำประกันของภาครัฐมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่การให้บริการค้ำประกัน ให้ความรู้และคำปรึกษาทางการเงิน แก่ทั้งภาคธุรกิจ-ประชาชนทั่วไป รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลความเสี่ยงด้านเครดิต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น และลดต้นทุนทางการเงิน นอกจากนี้ โครงการ Your Data ก็จะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิต ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลของภาคธุรกิจและประชาชนไปยังผู้ให้บริการต่างๆ เพื่อประเมินสถานะและพฤติกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น

ข้อเท็จจริงที่ 5: แบงก์ชาติไม่มีการปรับเกณฑ์การกำกับด้านสินเชื่อให้เข้มขึ้น ช่วงที่ผ่านมา ธปท. ไม่มีการปรับเพิ่มความเข้มงวดของหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพียงระบุว่า ธนาคารจะต้องพิจารณากำหนดค่างวดให้เหมาะสมกับการดำรงชีพของลูกหนี้ ให้ลูกหนี้มีเงินเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่ในอีกหลายประเด็น อาทิ การกำหนดอัตราส่วนการผ่อนชำระต่อรายได้ (Debt service Ratio: DSR) การกำหนด credit scoring ขั้นต่ำในการปล่อยสินเชื่อ การกำหนดตัวเลขรายได้คงเหลือขั้นต่ำหลังหักภาระผ่อนชำระ การห้ามปล่อยสินเชื่อแก่คนหรือลูกหนี้ธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ การกำหนดวงเงินดาวน์รถขั้นต่ำนั้น ธปท. ยังไม่ได้ปรับเพิ่มหรือนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาใช้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี หลักเกณฑ์ Responsible Lending มีการปรับเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแก่ประชาชนให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการโฆษณาและให้ข้อมูลที่ถูกต้องก่อนการกู้ยืม การช่วยเหลือกลุ่ม persistent debt และการกำหนดให้ธนาคารต้องนำเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ประชาชนก่อนการเป็นหนี้เสีย 1 ครั้งและหลังเป็นหนี้เสียอีก 1 ครั้ง ก่อนการโอนขายหนี้หรือดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาให้แก่ลูกหนี้ได้อย่างทันท่วงที (ท่านที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ ในหนังสือเวียนที่ ธปท. ส่งถึงสถาบันการเงิน 

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

กบน. ตรึงราคา LPG ต่อถึงสิ้นพ.ย. 2568 

กบน. ตรึงราคา LPG ต่อถึงสิ้นพ.ย. 2568 เดินหน้าตามนโยบาย “Quick Big Win” ดูแลค่าครองชีพประชาชน

DEXON ยกระดับการตรวจถังขนาดใหญ่ 

DEXON ยกระดับการตรวจถังขนาดใหญ่ ด้วยเทคโนโลยี Rope Access ที่แม่นยำและปลอดภัย

บ้านปู เน็กซ์ ผนึก พัฒนาโครงการโซลาร์รูฟท็อป

บ้านปู เน็กซ์ ผนึก อมตะ วีเอ็น และโซลาร์บีเค (SolarBK) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการโซลาร์รูฟท็อป

GGC แจ้งไตรมาส 3/68 รายได้รวม 4,660 ล้านบาท

GGC แจ้งไตรมาส 3/68 รายได้รวม 4,660 ล้านบาท EBITDA จากการดำเนินงานอยู่ที่ 257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%