
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า เห็นด้วยแนวคิดกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง ที่จะปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีแวต) จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 7% ให้เพิ่มสูงขึ้น เพราะถือเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่เก็บอยู่ในอัตราที่สูงกว่านี้มา
“การขึ้นภาษีแวต ควรทำและขึ้นในอัตราที่มาก เพื่อแก้ปัญหาการคลังไม่ให้เกิดเกิดวิกฤต ที่ตอนนี้หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 65% ของจีดีพี ประเทศต้องใช้เงินมาก ทั้งมาตรการแจกเงิน การดูแลภัยพิบัติ การลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศชนเพดาน 70% ในไม่ช้า หากรัฐบาลไม่เก็บภาษีแวตเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ” ดร.นณริฏ กล่าวว่า
อย่างไรก็ตาม ดร.นณริฏ ยอมรับว่า การขึ้นภาษีแวตมีด้านดีแต่ก็มีผลด้านที่ส่งผลกระทบต่อคนมีรายได้น้อย ที่มีภาระการเสียภาษีแวตมากกว่าคนรวย ดังนั้นเมื่อรัฐบาลขึ้นภาษีแวต พร้อมกันนั้นก็ต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบ เช่น ให้เงินสวัสดิการคนรายได้น้อยกลุ่มต่างๆ เพิ่มมากขึ้น หรือ การเว้นหรือเก็บภาษีแวตในอัตราที่ต่ำกว่าปกติ สำหรับสินค้าที่มีความจำเป็นสำหรับการครองชีพ
ดร.นณริฏ กล่าวว่า นายพิชัย ยังพูดถึงภาพรวมการปรับโครงการสร้างภาษีทั้งระบบ ซึ่งในส่วนของการลดภาษีบุคคลธรรมดาจากสูงสุด 35% ให้เหลือ 15% ในฐานะนักวิชการไม่เห็นด้วย เพราะปัจจุบันเมืองไทยมีแรงงาน 40 ล้านคน อยู่ในระบบภาษี 10 ล้านคน และเสียภาษีจริงประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งน้อยมากอยู่แล้ว การลดภาษีบุคคลธรรมดาจะส่งผลกระทบกับการเก็บรายได้ของประเทศ
รวมถึงแนวคิดการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เหลือ 15% ก็ไม่เห็นด้วย เพราะการลดภาษีนิติที่เร็วเกินรไปไม่มีอะไรยืนยันว่าจะทำให้ผู้ประกอบการลงทุนเพิ่ม หรือจะมีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่ม ทำให้การลดไปเอื้อเอกชนให้มีกำไรที่สูงควรเป็น
“รายได้หลักของประเทศ คือ การเก็บภาษีบุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล และภาษีแวต หากไปลดภาษีบุคคลฯ และภาษีนิติฯ จะส่งผลกระทบกับการคลังของประเทศอย่างรุนแรงได้ในอนาคต เพราะประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวย และการเก็บภาษีหลายตัวก็ยังไม่มีประสิทธิภาพจริง เช่น ภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การเร่งลดภาษีมากเกินไปจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี” ดร.นณริฏ กล่าว