
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์เฟสบุ๊ก “Somchai Jitsuchon” ระบุ
การนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้ในรูปกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (SWF)
การพิจารณาเรื่องนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนครับ (ก) เงินสำรองของใคร (ข) เอาไปทำอะไร (ค) เอาไปอย่างไร (ง) บริหารอย่างไร
ก. เงินสำรองของใคร:
SWF ในโลกนี้แยกได้กว้าง ๆ ว่าเป็น ‘เงินของแผ่นดิน’ หรือ ‘เงินที่เจ้าของเอามาฝาก’ กรณีแรกมักเป็นเงินที่มาจากทรัพยากรธรรมชาติ เช่นน้ำมัน ซึ่งเป็นของทุกคนในประเทศ SWF ในประเทศแบบนอร์เวย์ คูเวต ซาอุ เข้าข่ายนี้ ส่วนกรณีสองเป็นเงินสำรองที่พอกพูนขึ้นเพราะประเทศเกินดุลการชำระเงิน ไม่ว่าจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (ส่งออกสินค้าและบริการมากกว่านำเข้า) หรือเกินดุลเงินทุนเคลื่อนย้าย (ต่างชาติเอาเงินมาลงทุนในประเทศมากกว่าคนในประเทศเอาออกไป ตปท.) ถือว่าเป็นเงินที่เจ้าของเอามาฝากธนาคารกลางเป็นการชั่วคราว โดยเขามีสิทธิ์จะถอนไปเมื่อไรก็ได้ เช่นถ้าดุลชำระเงินเกิดเปลี่ยนเป็นขาดดุล เงินสำรองส่วนนี้ก็จะลดลงตามการถอนออกไปจากธนาคารกลาง กรณีหลังมีประเทศเช่นจีน (CIC) สิงคโปร์ (GIC) เกาหลีใต้ (KIC) เป็นต้น
ข. จะเอาไปทำอะไร
SWF ส่วนใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อบริหารเงินสำรองให้มีผลตอบแทนระยะยาวสูงขึ้น ผ่านการบริหารกองทุนอย่างมืออาชีพ เช่น GIC/Temasak ของสิงคโปร การใช้เงินแบบนี้มีความเสี่ยงอย่างเดียวคือผลตอบแทนการลงทุนติดลบ ซึ่งในภาวะปกติจะไม่ค่อยเกิดขึ้น ผลตอบแทนมักเป็นบวกแล้วแต่มากน้อย ดังนั้นต่อให้เป็นกองทุนที่มีเจ้าของเป็นคนอื่นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินคืนให้เขา แต่บางประเทศก็เอาเงินในกองทุนไปใช้ในลักษณะ ‘ใช้แล้วหมดไป’ เช่นไปแจกเงิน (ซาอุ อิหร่าน เวเนซูเอลา) อุดหนุนสินค้า (ซาอุ เวเน) ให้การศึกษาฟรี (คูเวต) รักษาฟรี (คูเวต) สังเกตุว่ามักเป็นประเทศที่เงินสำรองมาจากทรัพยากรธรรมชาติ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการคืนเงินให้เจ้าของตัวจริง และแม้เช่นนั้นการใช้เงินสำรองแบบสุรุ่ยสุร่ายและเป็นประชานิยมเกินไปก็ทำให้ประเทศชาติล่มจมอยู่ดี (เวเนซูเอลา)
ค. เอาเงินออกมาตั้งกองทุนอย่างไร
ในกรณ๊เงินมีเจ้าของ ธนาคารกลางที่รับฝากเงินไว้จะบันทึกเงินสำรองในฝั่งทรัพย์สินของงบดุล แต่เนื่องจากตอนได้มาไม่ใช่ได้มาฟรี ธนาคารกลางก็จะมีรายการฝั่งหนี้สินของงบดุลในยอดเท่ากัน ซึ่งมักอยู่ในรูปของพันธบัตรธนาคารกลาง (เพราะต้องดูดซับเงินสกุลท้องถิ่นออก) หากฝ่ายการเมืองต้องการเอาเงินสำรองออกไปใช้ โดยหลักการก็ต้องรับเอาหนี้สินไปด้วย เช่นออกพันธบัตรรัฐบาลมาแลกพันธบัตรธนาคารกลาง แต่นักการเมืองที่ไม่เข้าใจ (หรือแกล้งไม่เข้าใจ) ก็อาจไม่อยากรับภาระหนี้สินนี้ไป เพราะจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่ม ขัดกับความหวังแต่แรกที่จะได้ ‘ใช้เงินฟรี ๆ’ ซึ่งถ้ารัฐบาลบีบคอธนาคารกลางเอาเงินออกไปโดยไม่รับภาระ (อาจผ่านมติกรรมการธนาคารกลางที่ตัวเองส่งคนเข้ามาคุม) ก็จะมีผลเสมือนธนาคารกลางพิมพ์เงินให้รัฐบาลเอาไปใช้ จะทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อเงินเฟ้อ นโยบายการเงินขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจ และอาจถึงวิกฤติเศรษฐกิจได้
ง. บริหารอย่างไร
SWF ที่จัดตั้งอย่างรอบคอบ มีวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมในการเพิ่มผลตอบแทนระยะยาว หรือส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ (โดยไม่ใช่ลงทุนให้ฟรี) ก็จะบริหารกองทุนอย่างมืออาชีพ มีผู้บริหารที่ไม่อิงการเมือง มีกรรรมการที่มีความเป็นอิสระ มีระบบตรวจสอบและประเมินผลที่ดี ในทางตรงกันข้ามกองทุนที่ตั้งโดยหวังผลทางการเมืองระยะสั้นก็มักจะไม่มีภาพทีควรเป็นข้างต้นนี้ และแม้เป็นกองทุนที่ตั้งเพื่อเพิ่มผลตอบแทนระยะยาว ไม่ใช่เพื่อใช้จ่ายประชานิยม ก็มีงานวิจัยที่พบว่ากองทุนที่ผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับฝ่ายการเมือง มักลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศตอนที่ราคาสูงเกินไป ทำให้กองทุนมีความเสี่ยงขาดทุนแต่เอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม
ข้อเท็จจริงกรณีประเทศไทย:
1. เรามีทุนสำรองมากจริง แต่เป็นเงินที่มีเจ้าของ และอนาคตไม่แน่นอนว่าจะคงระดับมากไปเรื่อย ๆ ได้ เพราะประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลงต่อเนื่อง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนต่างชาติเท่าไรแล้ว การนำเงินสำรองไปใช้ ไม่ว่าเพื่อการใดต้องระมัดระวังอย่างมาก
2. บริบททางการเมืองเอียงไปทางการใช้นโยบายประชานิยมชัดเจน
3. นักการเมืองไม่เข้าใจ (หรือแกล้งไม่เข้าใจ) ว่าต้องรับทั้งสินทรัพย์และหนี้สินที่เชื่อมโยงกับเงินสำรองที่อยากเอาไปใช้ จึงเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นต่อนโยบายการเงิน อีกทั้งมีการวางตัวคนของตนเองเข้าไปในธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
4. ระดับธรรมาภิบาลและความเป็นมืออาชีพของการบริหารกองทุนภาครัฐของไทยเป็นอย่างไร คงทราบกันดี
ทุกท่านคงสรุปได้นะครับว่านโยบายเรื่องนี้สำหรับประเทศไทยควรเป็นอย่างไร