
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ในวันนี้ (วันที่ 2 มิถุนายน 2568) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) รายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating)
ที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
ที่มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
S&P คาดว่า ในปี 2568 และ 2569 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.3 และ 2.6 ตามลำดับ เนื่องจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก (External Risks) โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) คาดว่า ในช่วงปี 2568 – 2571 จะเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.8 ขณะที่รายได้ต่อหัว (Income per capita) ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจาก 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 8,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 26 จากปี 2566 ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2568 การเติบโตจะชะลอลงประมาณร้อยละ 1.9 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย S&P คาดว่า มาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวที่ภาครัฐกำลังดำเนินการอยู่ อาทิ การขยายเวลาการให้สิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา จะยังคงช่วยสนับสนุนจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยให้แข็งแกร่งในช่วงไตรมาสถัดไป
S&P มองว่า รัฐบาลไทยจะยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง โดยคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships: PPP) จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการลงทุนในโครงการเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะต่อไป
หนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Net General Government Debt to GDP) คาดว่า ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.3 อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับรัฐบาลอาจมีการนำเงินจากโครงการ Digital Wallet วงเงินประมาณ 157,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสนับสนุนโครงการลงทุนอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ส่งออกและภาคธุรกิจจากความไม่แน่นอนของการค้าโลก
ประเทศไทยยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อันเป็น
ผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยคาดว่า ตั้งแต่ปี 2568 – 2571 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลเฉลี่ยร้อยละ 1.6 อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งและมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่ S&P จะติดตามสำหรับการพิจารณาการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ระดับเดียวกัน (Peers) รายได้ต่อหัว (Income per capita) และแนวโน้มของการเข้าสู่สมดุลทางการคลัง นอกจากนี้ S&P ยังให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความต่อเนื่องในการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจ
อนึ่ง ตามนโยบายของรัฐบาลได้มีการมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการประสานงานติดตามให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นปัจจุบันกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ตลอดจนวิเคราะห์ ประมวลผล และนำเสนอแนวทางการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะทำงานบูรณาการข้อมูลเพื่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสร้างภาพลักษณ์ทางเครดิตของประเทศจะได้ดำเนินการประสานงานติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิดร่วมกับทุกหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (มูดี้ส์) ประกาศยืนยันอันดับเครดิตไม่มีหลักประกันที่ไม่ด้อยสิทธิของผู้ออก Baa1 ของรัฐบาลไทย และเปลี่ยนแนวโน้มแนวโน้มเป็นลบจากมีเสถียรภาพ เรายังยืนยันอันดับเครดิตการค้าเงินตราต่างประเทศของไทยที่ P-2