TRUMP 2.0 Effect “ซีไอเอ็มบี” แนะลูกค้าบริษัทไทยตั้งรับความไม่แน่นอน 

Date:

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยในงานสัมมนาเศรษฐกิจ ‘TRUMP 2.0 Effect ธุรกิจไทยจะกระทบแค่ไหนกัน’ ว่าปี 2568 เป็น “ปีพิเศษ” สำหรับเศรษฐกิจโลกและไทย ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนหลายด้าน ทั้งแผ่นดินไหว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง แต่โตช้าลง เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ จึงจับตาแรงขับเคลื่อนหลักจากนโยบายการเงิน คาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปิดจบปีนี้ที่ 1.25% โดยมีแรงส่งคือ การใช้จ่ายภาครัฐช่วยพยุง

ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันที่มีโอกาสขยับขึ้น ไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าสุทธิน้ำมัน ย่อมได้รับผลกระทบต้นทุนสูงขึ้น ค่าเงินบาทยังไม่อ่อน แม้เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยกันยายนและธันวาคม และนักท่องเที่ยวจากยุโรปและสหรัฐฯ เข้ามาช่วงปลายปี จะช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้อีก CIMB THAI คาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งในระยะสั้น แนะนำให้นักลงทุนถือเงินดอลลาร์ในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูง การลงทุนภาคเอกชนบางส่วนเริ่มมีสัญญาณฟื้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ ส่วนกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยวยังมีแรงขับเคลื่อน แม้กรุ๊ปทัวร์จากจีนจะยังไม่กลับมา แต่จำนวนนักท่องเที่ยวรายบุคคลจากอินเดีย รัสเซีย และอเมริกากำลังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ยังมีจุดแข็งด้านอุตสาหกรรมและการผลิต ที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

“ปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับต้น ๆ ราว 2% ต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายรัฐ เช่น ฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ การสนับสนุน SMEs และเศรษฐกิจฐานราก ขณะที่การปล่อยสินเชื่อยังติดลบ จึงจำเป็นต้องมีนโยบายสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง เพราะดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ใช่ยารักษาทุกโรค” ดร.อมรเทพกล่าว 

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ Economics Intelligence Service สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า “โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การค้าไม่เสรีอีกต่อไป และสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น สงครามการค้าไม่เป็นผลดีกับใคร เพราะเมื่อการค้าโลกไม่เติบโต เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ก็จะโตน้อยลง โดยเฉพาะประเทศที่เปิดเสรีทางการค้าอย่างไทย ไทยต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พร้อมส่งสัญญาณชัดว่า โลกหลังจากนี้จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว การพึ่งพาการค้าเสรีแบบในอดีตอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป” 

ประเทศไทยเปราะบาง เพราะสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศ (รวมส่งออกและนำเข้า) สูงถึง 140% ของ GDP จึงได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ “Universal Tariff” ที่กำหนดอัตรา 10% หรือมากกว่าสำหรับบางสินค้า อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทาย ยังมีโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทย หากไทยสามารถกระจายตลาดส่งออก ไม่พึ่งพาตลาดใดเกิน 20% และเปิดตลาดให้สหรัฐฯในสินค้าบางกลุ่ม เช่น ผ้าไหม หรือลำไย ซึ่งไม่ได้กระทบต่อภาคการผลิตในสหรัฐฯ แต่ช่วยส่งสัญญาณเชิงบวกในการเจรจาการค้า

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ทำให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และไบโอเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารสุขภาพ วิตามิน โปรตีนทางเลือก และไบโอพลาสติก ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุโรปและตลาดโลกที่ต้องการลดคาร์บอน ข้อมูลจาก BOI ระบุว่า ไทยได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมากที่สุดในปีที่ผ่านมา แม้การจ้างงานยังเพิ่มไม่มาก เนื่องจากโรงงานใหม่มักใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ

โลกกำลังเข้าสู่ยุค De-globalization หรือ “โลกหลายขั้ว“ โดยประเทศต่างๆ กำลังแบ่งกลุ่มการค้า และการลงทุนกันใหม่ เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.สหรัฐฯ 2.จีน รัสเซีย และประเทศที่เป็นพันธมิตร

 3.ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย แคนาดา เม็กซิโก 4. ประเทศเป็นกลาง เช่น ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์

ด้านการคลัง รัฐบาลไทยเผชิญข้อจำกัดในการลดภาษีรายได้ เนื่องจากรายรับน้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่อง ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทุกปี อย่างไรก็ตาม รัฐอาจออกมาตรการเฉพาะทางเพื่อสนับสนุน SMEs หรือช่วยลดต้นทุนด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท สำหรับผู้ประกอบการที่รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย จำเป็นต้องพิจารณาสัดส่วน Local Content ให้สูงขึ้น เช่น กรณียางล้อรถยนต์ หากมีชิ้นส่วนผลิตในไทยเกิน 80% จะไม่ถือว่าเป็นการ “เลี่ยงภาษี” (Transshipment) ซึ่งช่วยรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้กำลังเผชิญสถานการณ์ “Perfect Storm” จากหลายปัจจัยรุมเร้า โดยเฉพาะแรงกดดันจากภายในประเทศ ทั้งเสถียรภาพทางการเมืองที่เปราะบางและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ยาก โดยรวมปัจจัยกระทบหนักมาจากภายในประเทศ ดังนั้น หุ้นน่าสนใจ คือ หุ้นที่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก (หุ้น Defensive) อย่างไรก็ดี แม้ผลกระทบน้อยกว่า แต่ก็ต้องระวัง เพราะคาดการณ์ยากมาก เช่น หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ปิโตรเคมีคอล แม้โรงงานในไทยมีขนาดใหญ่ แต่โรงงานจีนในไทยใหญ่กว่าเรา 10 เท่า จึงต้องระมัดระวัง 

“แนะนำนักลงทุนไทยให้ “มองหาโอกาสในต่างประเทศ” และเปิดรับช่องทางการลงทุนที่สามารถซื้อขายต่างประเทศได้โดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับองค์กรที่ต้องการสร้างเสถียรภาพให้ราคาหุ้นของตนเอง ควรเน้นผลประกอบการที่แข็งแกร่ง (Earnings-driven) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาด” นายเกษม กล่าว

น.ส. ศรินทร สุรี  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยกล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ลูกค้าบรรษัทธุรกิจส่วนใหญ่มีความ ”ระมัดระวัง” ในการขยายธุรกิจ และต้องการ “ประคองตัว” ดังนั้นจึงมีสภาพคล่องคงเหลืออยู่ในบริษัท ลูกค้าเหล่านี้จึงหันมามองหาทางออกให้เงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านช่องทางลงทุนที่ปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนระยะยาว เช่น เงินฝากพิเศษ พันธบัตรรัฐบาล และ หุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะพันธบัตรและตราสารหนี้ระยะยาวที่มีสภาพคล่องสูง ทำให้บริษัทมีโอกาสได้ capital gain ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง

CIMB THAI ให้คำแนะนำลูกค้าอย่างใกล้ชิดตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้, การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและการบริหารต้นทุน (cost savings) ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง นอกจากนี้ สำหรับบริษัทที่มีแผนระดมทุน ธนาคารฯ สามารถให้คำแนะนำทางเลือกต่างๆ ในการหาเงินทุน เช่นการออกหุ้นกู้ หรือ short-term note ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยธนาคารให้คำปรึกษาเรื่องต้นทุน อายุหุ้นกู้ และโครงสร้างที่เหมาะสม 

นายภิสัก อึ้งถาวร Head, Market Research and Advisory ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า กลุ่มลูกค้า Private Wealth ยังคงโตต่อเนื่อง ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด คือ พันธบัตรและหุ้นกู้ตลาดรอง โดยในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาลง การลงทุนในตราสารหนี้ ที่ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมออยู่แล้ว ยังมีโอกาสได้ Capital gain เมื่อเทียบกับ Asset Class อื่นๆ

“เทรนด์ที่มาตอนนี้ คือ “ลูกค้าที่มีการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นำหุ้นกู้มาขายคืนทำกำไร เพื่อลงทุนต่อ” คำถามจากลูกค้าส่วนใหญ่คือ “ขายแล้วจะนำเงินไปลงทุนอะไรต่อ” ในจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศค่อนข้างต่ำ และค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าพื้นฐาน ตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือและอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า จึงเป็นที่สนใจของลูกค้ามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อยากแนะนำให้ลูกค้าลองมาคุยกับเรา เพราะทุกสถานการณ์มีทางเลือก และทุกโอกาสมีมูลค่า ถ้ารู้จักบริหารให้ถูกจังหวะ”

สุดท้ายนี้ ขอแนะนำ พันธบัตรออมทรัพย์กระทรวงการคลังอายุ 10 ปี ที่จะเปิดขายในวันที่ 4-6 สิงหาคม โดยลงทุนง่ายๆ ผ่าน App CIMB THAI  เป็นจังหวะในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก

น.ส.จิตริณี ตันสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารลูกค้า Conglomerates บรรษัทธุรกิจและธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี กล่าวว่า  ท่ามกลางการขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ผลกระทบจากการนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา สภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ธนาคารสังเกตเห็นว่าลูกค้าบรรษัทธุรกิจส่วนใหญ่มีการปรับแผนการลงทุนรวมถึงการใช้เงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการระดมทุนของธุรกิจ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์เงินกู้ธนาคารซึ่งมักจะต้องมีแผนการใช้เงินที่ค่อนข้างแน่นอน CIMB THAI ยังมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่นๆ ที่สามารถช่วยลูกค้าระดมเงินทุนในสถานการณ์ที่การใช้เงินอาจยังมีความไม่แน่นอน โดยทางเลือกหนึ่งที่เป็นเทรนด์ในช่วงนี้คือการออกตราสารหนี้ผ่านโปรแกรม Medium-Term Note ซึ่งการตั้งเป็นโปรแกรมจะทำให้ลูกค้าออกตราสารหนี้ได้ต่อเนื่องหลายๆ ครั้ง ออกตราสารหนี้ได้ตั้งแต่ระยะสั้นจนถึงระยะยาว และออกตราสารหนี้ได้หลายประเภทเท่าที่จะระบุไว้ในเอกสารต่างๆ ในการจัดตั้งโปรแกรม 

ผู้ต้องการระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้ผ่านโปรแกรม Medium Term Note ต้องขออนุญาตผ่านสำนักงาน ก.ล.ต. โดย ธนาคารมีบริการให้คำแนะนำ รวมถึงดูแลในส่วนของการขออนุญาตและขั้นตอนการจัดตั้งโปรแกรมทุกขั้นตอน ช่วยให้กระบวนการทั้งหมดเป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้จากการที่ CIMB เป็นธนาคารที่ดำเนินธุรกิจระดับภูมิภาค จึงสามารถช่วยลูกค้าระดมทุนได้ในหลากหลายสกุลเงิน อาทิ บาทไทย, ดอลล่าร์สหรัฐ, ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือ ริงกิตมาเลเซีย รวมถึงยังสามารถแนะนำการระดมทุนในตลาดต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ ได้อีกด้วย

ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการระดมทุน ต้องการระดมเงินทุนในระยะกลางถึงยาว สามารถปรับให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินหรือที่เรียกว่า negative carry ด้วยทีมที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญของธนาคารและบริการแบบครบวงจร ลูกค้าสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้อย่างมั่นใจและคล่องตัว

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

GMM Music พาแบรนด์ ‘รู้ใจ Gen Z ไม่ต้องเดา’

GMM Music พาแบรนด์ 'รู้ใจ Gen Z ไม่ต้องเดา' สร้าง Impact สูงสุดผ่าน Digital Music Solutions

สมาคมธนาคารไทย ชื่นชมเจรจาสหรัฐเก็บภาษีไทยเหลือ 19% 

สมาคมธนาคารไทย ขอขอบคุณและชื่นชมรัฐบาลไทย ประสบความสำเร็จในการเจรจาปรับลดภาษีนำเข้ากับสหรัฐเหลือ 19%

19% จะส่งผลอย่างไร?

19% จะส่งผลอย่างไร? เราอย่าหวังพึ่งใคร ถ้าเรายังไม่พัฒนาตัวเอง เราจะเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

บสย. ขอขอบคุณรัฐบาลไทย เจรจาภาษีสหรัฐฯ เหลือ 19%

บสย. ขอขอบคุณและชื่นชมรัฐบาลไทย เจรจาภาษีสหรัฐฯ เหลือ 19%