
ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในรอบ 11 เดือน (1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) ได้จำนวน 489,564 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 1.61% โดยคาดว่าในปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตจะสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังกำหนด ที่จำนวน 535,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าปีก่อน 2.17% ผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สามารถจับกุมและดำเนินคดีได้ทั้งสิ้น 33,766 คดี สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 8.69 และสูงกว่าเป้าหมาย 37.33% ตลอดจนมีการนำเงินส่งคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถนำเงินส่งคลังได้จำนวน 497.95 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 27.74 และสูงกว่าเป้าหมาย 64.12%
กรรมสรรพาสามิตเดินหน้า ยุทธศาสตร์ SMART Excise

ดร.กุลยา กล่าวว่า นอกจากหน้าที่การเก็บรายได้ให้กับประเทศแล้ว กรมสรรพสามิตยังขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ด้วยความร่วมมือของบุคลากรทุกคนในองค์กร ดังนี้ดังนี้
1. S: Sustainability มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยเป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญและ จะยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่
1.1 ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การสร้างกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษี เพื่อแสดงกลไกราคาคาร์บอนในสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และออกประกาศ กรมสรรพสามิต เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกับภาคเอกชน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (PTT OR) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในการแสดงค่าการปล่อยคาร์บอนในการเติมน้ำมันแต่ละครั้ง และกรมสรรพสามิตจะนำข้อมูลที่ได้ไปต่อยอดเพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อใช้ประกอบการเสนอนโยบายในเรื่องภาษีคาร์บอนต่อไป
1.2 ด้านเศรษฐกิจ กรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินมาตรการสนับสนุน การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (มาตรการ EV 3) และมาตรการสนับสนุนการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ระยะที่ 2 (มาตรการ EV 3.5) ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการใช้ยานยนต์แห่งอนาคต ส่งผลให้ตั้งแต่มีการเริ่มมาตรการเมื่อเดือนมีนาคม 2565 จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 233,802 คัน และรถยนต์จักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 71,667 คัน
นอกจากนี้ มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีสถานบริการเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว โดยลดจากอัตราร้อยละ 10 เหลืออัตราร้อยละ 5 จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ขยายต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตเพิ่มขึ้น และสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนการลดอัตราภาษีในปี 2566 จัดเก็บได้จำนวน 138.77 ล้านบาท และในปี 2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่ลดอัตราภาษีสามารถจัดเก็บได้จำนวน 182.15 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2568 (1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) จัดเก็บได้จำนวน 199.73 ล้านบาท
อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง โดยปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กรมจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ประมาณ 2,800 ล้านบาทต่อเดือน
และล่าสุดได้มีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณขึ้นใหม่ โดยจัดเก็บภาษี ในอัตราร้อยละ 45 เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถยนต์โบราณในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณ (Restoration) ในประเทศ และเป็นการขยายฐานรายได้ใหม่ ในการจัดเก็บภาษีสินค้ารถยนต์
1.3 ด้านสังคม กรมสรรพสามิตได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมสุราชุมชน เพื่อต่อยอดนโยบาย การส่งเสริม Soft Power ของประเทศ โดยปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชน ลดอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากทำให้มีผู้ประกอบการในระบบ 1,824 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และจัดเก็บภาษีสุราชุมชนได้จำนวน 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และได้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มตามความหวาน ระยะที่ 4 โดยมี ผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต ส่งผลให้ปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) จำนวน 3,411 ผลิตภัณฑ์

2 M: Modernization พัฒนาการจัดเก็บภาษีให้ทันสมัย โดยเน้นการปรับปรุงกฎหมาย ให้ทันสมัย พร้อมกับการทำ Digital Transformation โดยได้รับผลสำเร็จที่สำคัญ ได้แก่ อาทิ
2.1 การปรับกฎหมายและพัฒนาระบบอนุมัติฉลากดิจิทัลเต็มรูปแบบ (D-Label) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมผลิตสุรา
2.2 การปรับกฎหมายและพัฒนาระบบใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ (D-License) แบบ End to End Service โดยสามารถยื่นเอกสาร ชำระค่าธรรมเนียม และได้รับใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์เบ็ดเสร็จผ่าน Mobile Application เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอใบอนุญาตสุรา ยาสูบและไพ่ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1 ล้านใบอนุญาต
2.3 การเพิ่มประสิทธิภาพการสำรวจราคา โดยใช้ระบบสำรวจราคาขายสินค้าประเภทสุรา เบียร์ ยาสูบ และ เครื่องดื่ม (Excise Price Survey) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบขายสินค้าสุราและยาสูบที่ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 2 แจ้งราคาขายปลีกผ่านระบบสำรวจราคาขายปลีกสินค้าสรรพสามิต เพื่อให้ได้ข้อมูลการวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนของราคาขายปลีกจริงกับราคาขายปลีกแนะนำ โดยระบบนี้ได้นำมาทดแทนการสำรวจราคา โดยเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต
นอกจากนั้น มีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สุราสามทับแปลงสภาพเพื่อส่งออก การเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าสำหรับเครื่องดื่ม กฎหมายเกี่ยวกับสินค้าที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบทำสิ่งของอื่น เพื่อส่งออก และการยกเว้นหรือคืนภาษีสำหรับสินค้าส่งออก และสินค้าที่ผู้ประกอบการมีสิทธิได้รับคืนหรือยกเว้นภาษี
3. A: Accountability เสริมสร้างความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการกำกับดูแลที่ดี โดยกรมสรรพสามิตได้พัฒนากลไกการปฏิบัติงานให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อสถานการณ์การกระทำผิด ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลและ Dashboard ในการติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยมีผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่ การลงนาม MOU กับบริษัทขนส่งพัสดุเอกชน เช่น J&T และ KEX เพื่อยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษีผ่านช่องทางของบริษัทขนส่งพัสดุเอกชน ส่งผลทำให้สามารถจับกุมดำเนินคดีได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสินค้าสุรา ยาสูบ น้ำมัน และสินค้าอื่น ๆ

4. R: Revenue Collection กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในรอบ 11 เดือน (1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) ได้จำนวน 489,564.14 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 1.61 โดยคาดว่าในปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตจะสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังกำหนด ที่จำนวน 535,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าปีก่อนร้อยละ 2.17
5. T: Technology and Innovation-Driven ยกระดับการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มีผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่
5.1 จัดทำระบบควบคุมและติดตามการขนส่งสินค้าน้ำมันที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร ทางบกด้วยอุปกรณ์ซีลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Seal) เพื่อยกระดับมาตรการกำกับดูแลการส่งออกน้ำมันให้มีความรัดกุม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง ลดความเสี่ยงจากการลักลอบนำน้ำมันที่ส่งออกไปแล้วกลับเข้ามาจำหน่ายในประเทศ อันจะช่วยป้องกันการสูญเสียรายได้ของรัฐและเสริมสร้างความเป็นธรรม ทางการค้า
5.2 จัดทำระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอย (Track & Trace) สำหรับสินค้ายาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิตและนำเข้า ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทางด้านภาษี และสนับสนุนการปราบปราม ในการแยกบุหรี่ซิกาแรตในระบบและนอกระบบออกจากกันได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ จากการยกระดับการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ส่งผลให้ปีนี้ กรมสรรพสามิตได้รับรางวัลสำคัญ รวมทั้งสิ้น 6 รางวัล ได้แก่
1) รางวัล Prime Minister Awards :Thailand Cybersecurity Excellence Awards 2024 สำหรับ องค์กรที่มีผลงานโดดเด่นในการป้องกันและรับมือภัยคุกคามไซเบอร์
2) รางวัลองค์กรต้นแบบการขับเคลื่อนการจัดทำบัญชีข้อมูลภาครัฐ (Excellent Award)
3) รางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม
4) รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 ระดับพัฒนาจนเกิดผล (Significant)
5) รางวัลบริการภาครัฐ ประเภทบริการตอบโจทย์ ตรงใจ: ระดับดีเด่น ผลงาน “D-Label ระบบอนุมัติฉลากดิจิทัลเต็มรูปแบบ” และ
6) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน: ระดับดีเด่น ผลงาน “Excise Sustainable Collaboration กรมสรรพสามิตสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน”
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตจะยังคงมุ่งเน้นในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ SMART Excise อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกหน่วยงานภายในกรมสรรพสามิตใช้ในขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน และต่อยอดความสำเร็จให้กรมสรรพสามิตได้อย่างเป็นรูปธรรม และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป