คนละครึ่งพลัส ยอดใช้จ่ายทะลุ 5 พันล้าน

Date:

คนละครึ่งพลัส

นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ) โดย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการฯ สำเร็จแล้วกว่า 13.60 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 5,424.68 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 2,739.81 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 2,684.87 ล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00 – 23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท

สำหรับความคืบหน้าของการลงทะเบียนร้านค้าในโครงการฯ จากข้อมูลสะสม ณ วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วจำนวน 780,659 ราย 

โฆษกกระทรวงการคลังย้ำถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้จ่ายในโครงการฯ ว่า การใช้จ่ายในโครงการฯ จะต้องเป็นการซื้อขายสินค้า และบริการเฉพาะบริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะ โดยไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า โดยผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการแบบพบหน้า (Face to Face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือผ่านคนกลาง เว้นแต่การใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่เข้าร่วมโครงการฯ 

ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการนวด และสปา ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ขอให้ตรวจสอบชื่อและที่ตั้งของสถานประกอบการในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ให้ตรงกับใบอนุญาตสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบและอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ดังมีรายละเอียดวิธีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลร้านค้าถุงเงินบนเว็บไซต์ถุงเงินกรุงไทยปรากฏตาม QR Code

โฆษกกระทรวงการคลัง แจ้งข้อมูลว่า จากการติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมกับการวิเคราะห์ธุรกรรมของร้านค้าด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของร้านค้าแล้วเป็นจำนวน 55 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) เนื่องจากมีพฤติการณ์รับแลกเงินและสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ จึงขอย้ำเตือนว่า กระทรวงการคลังจะดำเนินการเอาผิดกับร้านค้าที่ทุจริตในโครงการฯ อย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ โครงการฯ มีวัตถุประสงค์ชัดเจนที่รัฐบาลจะร่วมจ่ายค่าสินค้าหรือบริการกับประชาชนเพื่อบรรเทาภาระ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยกับผู้ค้าขายรายเล็กที่สุจริต ดังนั้น หากร้านค้าและประชาชนมีพฤติการณ์ เช่น รับแลกเงินโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง สแกนค่าสินค้าต่างจากราคาสินค้าหรือบริการจริง ซื้อขายสินค้าต้องห้าม ให้บริการที่ไม่ได้อยู่ในข่ายประเภทที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น จะนำไปสู่ความเสียหายต่อการดำเนินโครงการฯ และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเรียกเงินคืนจากร้านค้าเต็มจำนวนตามที่รัฐได้โอนให้แก่ร้านค้าและดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ขอย้ำเตือนร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าโดยให้จำหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันทั้งกรณีชำระด้วยเงินสด และชำระผ่านโครงการฯ

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

“อนุทิน” หารือ “สีจิ้นผิง” ร่วมมือปราบปรามภัยไซเบอร์

"อนุทิน" หารือ "สีจิ้นผิง" ร่วมมือปราบปรามภัยไซเบอร์ จีนชมรัฐบาลไทยนโยบายไม่ส่งเสริมกาสิโน

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมถวายความอาลัย พระพันปีหลวง

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมถวายความอาลัย แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

กสิกรไทย ซื้อหุ้นคืน 8,800 ล้านบาท เพื่อบริหารทางการเงิน

กสิกรไทย ประกาศเตรียมซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 8,800 ล้านบาท เพื่อบริหารทางการเงิน

ผู้บริหารกรมสรรพสามิต ร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน

ผู้บริหารกรมสรรพสามิต ร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกระทรวงการคลัง ประจำปี พ.ศ. 2568