
วันที่ 2 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และหนึ่งในนโยบายหลัก Quick Big Win ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นภาคธุรกิจ SMEs โดยมาตรการแรก จะเป็นมาตรการด้านการเงิน เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้กับ SMEs ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้เป็นโครงการที่ใหญ่มาก ประกอบด้วยการเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุน วงเงินรวม 267,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อ 217,000 ล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท โดยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสภาพคล่องมากขึ้น ผ่านกลไกค้ำประกันเดิมของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยใช้วงเงิน 50,000 ล้านบาท ไม่มีธรรมเนียม 3 ปี เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกแบบกองทุนค้ำประกันอีกกองทุนหนึ่ง เพื่อเสริมกับ บสย.ซึ่งเป็นกองทุนที่เข้ามาเสริม เพื่อต่อลมหายใจให้กับ SMEs ไทย
รัฐบาลยังปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ผ่านโครงการ “GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย” จากเหตุการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ภาคใต้ ผู้ประกอบการไทย สมาคมแบงค์รัฐ ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนมาก ดังนั้นต้องเข้าไปช่วยเหลือเพื่อทำซอฟต์โลนผ่านธนาคารออมสิน 0.01 % ให้กับธนาคารรัฐ และธนาคารเอกชน เพื่อปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3.5 % ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะยาว ให้ต้นทุนของ SMEs ต่ำลง เข้าถึงง่าย และมีการค้ำประกันมาช่วยด้วย ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมกับ 7 ธนาคารของรัฐ ทั้งหมดนี้ ใช้เม็ดเงินวงเงินสินเชื่อประมาณ 27,000 ล้านบาท เป็นตัวช่วยเติมสภาพคล่องลดต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ
ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดสรรสินเชื่อ 80,000 ล้านบาท ผ่าน “ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3” และ “SME ไทยไชโย” ด้าน SME Bank ปรับเกณฑ์สินเชื่อปลุกพลัง SME และ Beyond ติดปีก SME วงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องตั้งแต่ Micro SMEs ถึง SMEs ทั่วไป
ด้านการส่งออก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) จัดสินเชื่อและประกันการส่งออก 12,000 ล้านบาท ส่วนธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยสนับสนุนผู้ประกอบการมุสลิม 3,000 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์อัดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และบ้านจัดสรรในภูมิภาค 2,000 ล้านบาท
มาตรการที่ 2 เป็นมาตรการภาษี กรมสรรพากร มีเงินค้างคืน SMEs จะคืนเงินทั้งหมด 60,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบภายในเดือนธันวาคมนี้ ให้ SMEs ที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เพื่อให้เงินเข้าสู่ระบบโดยจะมีเอสเอ็มที่ได้รับผลประโยชน์ประมาณ 20,000 ราย เม็ดเงินนี้จะเข้าไปฟื้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4 เพื่อเสริมสภาพคล่องได้กลับคืนมา และต้องการให้ SMEs มีลมหายใจ
ส่วนมาตรการที่ 3 เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ธุรกิจ SMEs เติบโตได้อย่างยั่งยืน ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น เพื่อทำให้ SMEs เข้าสู่อุปทานของบริษัทใหญ่ ๆ โดยใช้มาตรการภาษีของกรมสรรพากร ให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ช่วยหักลดหย่อนภาษี เช่น การออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ลดหย่อยภาษี 1.5 เท่า SMEs จะได้เข้าไปอยู่ Supply Chain ของบริษัทใหญ่ และที่สำคัญจะให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้น เข้าไปวางในระบบใหม่ที่เรียกว่า ระบบ PromtBuss ซึ่งเป็นระบบที่ช่วย SMEs ได้รับเงินจากการขายของกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้เร็วขึ้น คล้ายกับระบบ PromtPay
นอกจากนี้ กระทรวงดีอี ยังสนับสนุนเครื่องมือ AI ให้กับธุรกิจ SMEs เพื่อพัฒนาธุรกิจเข้าสู่ดิจิทัล business transformation โดยรัฐจะมีสินเชื่อและเงินอุดหนุนมาช่วยเหลือ เงินเหล่านี้ผ่านทางธนาคารของรัฐ และธนาคารเอกชน ซึ่งมีเงินอุดหนุนผ่าน 2 แหล่ง ได้แก่ สสว. BOI โดยใช้เครื่องมือของทุกหน่วย และเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีไทย ใช้งบประมาณจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้แต้มต่อเอสเอ็มอีไทย สูงสุด 20 % ผ่านเงื่อนไขหากเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้แต้มต่อ 10 % สินค้าเมดอินไทยแลนด์ 5 % หากใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ได้อีก 5 % และยังให้กระทรวงพาณิชย์ ยังสร้างระบบอีคอมเมิร์ซให้กับเอสเอ็มอีไทย เพื่อยกระดับเอสเอ็มอีทั้งระบบ ซึ่งเป็นเสาที่ 3 ของแผนนโยบายเศรษฐกิจ
มาตรการทั้งหมดนี้ จะช่วยกระตุ้นสั้นด้วยเงินเข้าสู่ระบบ พร้อมกระจายตัว ให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อมากกว่า 107,000 ราย และในเชิงโครงสร้างจะ ได้ผลยาว โดยช่วยให้เศรษฐกิจไทยปี 2569 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.36 % ถือเป็นแรงส่งสำคัญให้ภาคธุรกิจกลับมาเดินได้เต็มกำลัง




