
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แบงก์ชาติติดตามค่าของเงินบาทแข็งค่าอย่างใกล้ชิด และเข้าดูแลในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป ปัจจัยกระทบค่าเงินบาทแข็งขณะนี้ มาจาก 3 ปัจจัย
1 การอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯ 10%
2 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
3 ปัจจัยที่ไม่ใช่เชิงพื้นฐาน เช่น การไหลเข้าของเงินทุน สกุลเงินดิจิทัล และทองคำที่ราคาขึ้นเร็วมาก เดือนที่ผ่านราคาทองขึ้นถึง 5%
นายวิทัย กล่าวว่า การซื้อขายทองคำมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ปัจจุบันมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ 15-16 ราย มีการซื้อขายทองผ่านแพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชัน สูงถึงกว่า 40-50% ของจีดีพี ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) รายวันของกลุ่มผู้ค้าทองคำต่อปริมาณการซื้อขายทองรวมทั้งหมดในตลาด เฉลี่ยอยู่ที่ 8% แต่ในวันที่เงินบาทแข็งค่าเร็ว ปริมารณการซื้อขาย FX ของร้านทองสูงถึง 20.5% ของปริมาณการซื้อขายในตลาดทั้งหมด ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวล
“จะมีคนถามเสมอว่า ธปท. ทำอย่างไรกับค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งมาตรการต้องค่อยเป็นค่อยไป” นายวิทัย กล่าว
นายวิทัย กล่าวว่า แบงก์ชาติจะหารือกับกระทรวงการคลัง ในการแก้ประกาศเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกิจทองคำ โดยเฉพาะผู้ค้ารายใหญ่และแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการเรียกดูข้อมูลการทำธุรกรรมในบางส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
นอกจากนี้ แบงก์ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารก่อนรับทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกหลักฐานทุกธุรกรรม เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
ขณะเดียวกัน ได้ให้ธนาคารพาณิชย์หารือกับหน่วยงานที่ออกพันธบัตรขนาดใหญ่ เพื่อขอให้ชะลอการออกพันธบัตรในช่วงที่ค่าเงินผันผวน เพื่อลดแรงจูงใจในการไหลเข้าของเงินทุน
นอกจากนี้ยังมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อช่วยติดตามแหล่งที่มาของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) เพราะในส่วนนี้เป็นจุดที่สังคมต่างตั้งคำถามว่าเกี่ยวข้องกับเงินเทา หรือไม่เทา โดยทั้งหมดต้องเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วช่วยกัน




