นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) ครอบคลุมทั้งการรับประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุ วิศวกรรม ภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้า ภายในประเทศและต่างประเทศ กล่าวถึงผลประกอบการครึ่งแรกของปี 67 ว่า บริษัทมีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 2,552 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 146 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตสูงถึง 92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/67 บริษัทมีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 1,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 12%จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 1,211 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันปีก่อนก่อนที่ทำกำไรสุทธิไว้ที่ 65 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากปรับกลยุทธ์ มุ่งเน้นสร้างการเติบโตธุรกิจกลุ่ม Non-Conventional และ Conventional รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่งผลให้มีการเติบโตทั้งในส่วนของ Personal line และ Commercial line ในขณะเดียวกัน บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การปรับพอร์ตเงินลงทุน ทยอยลดสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตรไทย เน้นเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ของต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ที่ระดับ 4.0% ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ทำไว้ที่ 2.0% นอกจากนี้ ยังสามารถบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษา Combine Ratio ไว้ได้ที่ 96.7% ซึ่งอยู่ในขอบเขตของเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ที่ 95-97%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มเติบโตต่ออย่างเนื่อง โดยพบว่าเบี้ยประภัยต่อรับในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างเติบโตของธุรกิจได้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี จากภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยต่อที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ประกอบกับการใช้กลยุทธ์ขยายธุรกิจไปยังตลาดอาเซียนที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยในปัจจุบัน ไทยรีมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 5.8% โดยในครึ่งปีหลังบริษัทจะมุ่งเน้นเพิ่มฐานลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดค่อนข้างใหญ่และมีโอกาสเติบโตสูง ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภท Personal Line ที่ตอบโจทย์ลูกค้า
“สำหรับปี 67 นี้ ไทยรีมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10% โดยเราให้ความสำคัญต่อการสร้างอัตราผลตอบแทนของกำไรเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น และอยากให้นักลงทุนมั่นใจว่าบริษัทได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ที่ธุรกิจประกันสุขภาพมีอัตราการเคลมในระดับสูงอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการคุมสัดส่วนธุรกิจประกันภัยต่อประเภทรถยนต์ EV เพื่อคัดกรองและป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัทในระยะยาว” นายโอฬารกล่าว