
เส้นก๋วยเตี๋ยวและเส้นบะหมี่ไม่ใช่แค่เมนูริมทางในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่อีกต่อไป แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็น “Global Comfort Food” ที่ชาวโลกคุ้นเคย ตั้งแต่โต๊ะอาหารในยุโรป ไปจนถึงร้านฟาสต์ฟู้ดในนิวยอร์ก ความนิยมอาหารไทย โดยเฉพาะเมนูเส้น ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง Soft Power ที่มีประสิทธิภาพที่สุดของประเทศไทยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
ตลาดโลก: ข้าวและเส้นเอเชียมาแรง
ข้อมูลจาก Fortune Business Insights ชี้ว่าตลาดเส้นก๋วยเตี๋ยว (Rice Noodles) มีมูลค่า 6.32 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตแตะ 10.43 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ประมาณ 8.6% ขณะที่ตลาดอาหารไทยโดยรวมทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 18.23 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขยายถึง 27.28 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030
เทรนด์สุขภาพยังผลักดันความต้องการไม่ว่าจะเป็น gluten-free noodles, vegan menus, หรือ plant-based protein ที่สอดคล้องกับความสนใจด้าน wellness ของผู้บริโภคยุคใหม่

อเมริกา: สมรภูมิหลักของอาหารไทย
ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยกว่า 10,000 แห่ง กระจายตัวอยู่ทุกมลรัฐ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ เช่น ลอสแอนเจลิส, นิวยอร์ก, ชิคาโก และวอชิงตันดีซี ร้านอาหารไทยไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจเล็ก ๆ ของครอบครัวผู้อพยพ แต่ได้พัฒนาเป็น Cultural Landmark ที่คนอเมริกันคุ้นเคย
ข้อมูลจาก National Restaurant Association (2024) พบว่า อาหารเอเชียคิดเป็น 12% ของร้านอาหารทั้งหมดในอเมริกา และยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีความนิยมสูงในกลุ่มผู้บริโภค Gen Z และ Millennials ที่ให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพและความสะดวกในการสั่งผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
Soft Power: จากผัดไท สู่ Culinary Diplomacy
อาหารไทยเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่รัฐบาลไทยใช้ต่อเนื่องมานาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Global Thai Restaurant (Kitchen of the World) หรือการผลักดัน”ผัดไท” ให้เป็น “เมนูประจำชาติ” ที่คนทั่วโลกรู้จัก ดร.กฤชคุณ ผาณิตญาณกร นักวิชาการและผู้ประกอบการร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จของอาหารไทยในเวทีโลกไม่ได้เกิดขึ้นจากรสชาติที่อร่อยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง วัฒนธรรม สุขภาพ และการสื่อสารเรื่องราว ที่ทำให้อาหารไทยกลายเป็นเครื่องมือทางการทูตเชิงวัฒนธรรมที่ทรงพลัง”
ภาษีนำเข้า 19%: ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ
แม้ภาพรวมตลาดจะสดใส แต่ความท้าทายก็ชัดเจนขึ้นเช่นกัน นับตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2025 สหรัฐฯ ได้เริ่มเก็บภาษีนำเข้าข้าวไทยในอัตรา 19% แม้จะไม่สูงเท่ากับ 36% ที่เคยเป็นข่าว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การปรับตัวคือการชู คุณค่าเชิงพรีเมียม ของข้าวหอมมะลิและเส้นก๋วยเตี๋ยว เช่น การตลาดที่เน้น “gluten-free, healthy choice” และการเล่าเรื่องราว (storytelling) ถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย เพื่อลดแรงกดดันจากราคาที่สูงขึ้น
พฤติกรรมผู้บริโภค: ออนไลน์คือ New Normal
หลังโควิด-19 ผู้บริโภคอเมริกันกว่า 75% ใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์หรือเดลิเวอรี่อย่างต่อเนื่อง ร้านอาหารไทยจึงต้องลงทุนใน แพลตฟอร์มดิจิทัล, แพ็กเกจจิ้งที่เหมาะกับเดลิเวอรี่ และ การสร้างแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย มากกว่าการพึ่งพาหน้าร้านเพียงอย่างเดียว
โอกาสและอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการไทย
สำหรับผู้ประกอบการไทย โอกาสที่เห็นได้ชัดคือการขยายตัวของตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารปลอดกลูเตน หรืออาหารออร์แกนิก ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ อีกทั้งยังสามารถใช้การสร้าง Soft Power ผ่านอาหารไทยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว และการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงบริการเดลิเวอรี่เพื่อลดต้นทุนคงที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคก็มีอยู่ไม่น้อย ภาษีนำเข้าในอัตรา 19% รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น เป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันที่รุนแรงจากอาหารเอเชียสายอื่น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม รวมถึงข้อจำกัดด้านแรงงานและใบอนุญาตในสหรัฐอเมริกา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องอาศัยการปรับตัวเชิงกลยุทธ์อย่างรอบคอบ
บทสรุป: เส้นก๋วยเตี๋ยวบนเส้นทางโลก
การเดินทางของอาหารไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่าอาหารไม่ใช่เพียงสิ่งที่เรารับประทาน แต่ยังเป็น Soft Power ที่สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการทูตเข้าด้วยกันได้อย่างทรงพลัง ดร.กฤชคุณ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ หากประเทศไทยและผู้ประกอบการไทยสามารถเล่าเรื่องราว (storytelling) ได้อย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการยืนหยัดในคุณภาพ และปรับตัวตามเทรนด์สุขภาพและดิจิทัล อาหารไทยจะไม่เพียงรักษาตลาด แต่ยังสามารถก้าวไปสู่การครองใจผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างแท้จริง ”