ช่วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้ขายและผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น สร้างกระแสข่าวครึกโครมราวกับเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและสำคัญที่สุด แต่แท้จริงแล้ว การจับกุมเหล่านี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาปลายเหตุที่อาจไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองทรัพยากร และสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเข้าใจบริบททางสังคมของประเทศไทยที่แท้จริง
ประการแรก การจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยลดจำนวนผู้ใช้งานจริง อันจะเห็นได้จากตัวเลขผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลสำรวจของหน่วยงานรณรงค์ปี 2565 ชี้ว่ามีคนไทยที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าถึง 700,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าภายในระยะเวลาเพียง 7 ปีเท่านั้นเมื่อเทียบกับผลสำรวจในปี 2564 จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่ามาตรการเหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการของผู้บริโภคได้ สาเหตุหลักมาจากการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าที่ง่ายดายผ่านช่องทางออนไลน์ ตลาดมืด และจากบุคคลทั่วไป การทุ่มเททรัพยากรไปที่การจับกุมจึงเปรียบเสมือนการตีงูตายซากที่ต้นตอปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างแท้จริง
ประการที่สอง การจับกุมสร้างความหวาดกลัวและอึดอัดต่อผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและสร้างภาพชี้นำให้สังคมมองคนธรรมดากลายเป็นอาชญากร มีโทษสูงยิ่งกว่ายาเสพติดบางประเทศ ทั้งที่ในปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก แทนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะให้ความรู้และคำแนะนำ พวกเขาต้องซ่อนตัว กลัวการถูกจับกุม ส่งผลเสียต่อโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและคำปรึกษาที่เหมาะสมเกี่ยวกับประโยชน์และอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
ประการที่สาม การจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเข้าใจบริบททางสังคมที่แท้จริง ปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีรากฐานส่วนหนึ่งมาจากปัญหาสุขภาพจิต แรงกดดันทางสังคม และการขาดแคลนพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชน
การจับกุมผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโดยไม่แก้ไขปัญหาต้นเหตุเหล่านี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการปิดประตูตีแมลงวัน แทนที่จะกำจัดแมลงทั้งรัง ดังนั้นการนำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมด้วยกฎหมายที่ระบุชัดเจนถึงข้อกำหนดในแง่มุมต่างๆอย่างครอบคลุม เช่น ออกกฎหมายควบคุมการโฆษณาและการตลาดบุหรี่ไฟฟ้า จำกัดและตรวจสอบอายุผู้ซื้อผู้ขาย พร้อมให้ความรู้และคำปรึกษาที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไปอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน
การจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าอาจดูเป็นภาพที่สะดุดตาและดึงดูดความสนใจของสังคมได้ดี ทว่าไม่ได้สะท้อนถึงแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และอาจเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรไปอย่างไม่คุ้มค่านัก ดังที่สะท้อนออกมาผ่านอัตราการเติบโตของบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนในตลาดใต้ดิน
ในวาระครบรอบ 10 ปีของกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า อาจถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเปลี่ยนมุมมองในการจัดการบุหรี่ไฟฟ้า มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุด้วยวิธีที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน ปกป้องเยาวชน และสร้างสมดุลให้กับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง