รทสช. ค้านสุดตัว กม.นิรโทษกรรม ต้องไม่รวมคดีม.112

Date:

นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ว่า จุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  โดยการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งเป็นร่างกฎหมายมีความตั้งใจที่ดีที่จะให้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างความปรองดองในชาติ  ซึ่งตนไม่ขัดข้อง แต่กฎหมายนี้ต้องไม่รวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะไม่ใช่ความผิดทางการเมือง ไม่ใช่แรงจูงใจทางการเมือง ตนไม่เห็นด้วยและคัดค้านถึงที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนในมาตรา 6 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ และสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หากจะนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำความผิดคดีมาตรา 112   ตนไม่แน่ใจว่าสภาผู้แทนราษฎร และหากส่งไปให้คณะรัฐมนตรีจะกลายเป็นสารตั้งต้นเสี่ยงที่จะเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทำความผิดขัดต่อจริยธรรมหรือไม่  ซึ่งอ้างอิงจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ก็ชี้ชัดแล้วว่า มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นการรณรงค์หาเสียง รวมถึงการยื่นแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเมื่อมองเทียบเคียงกับผู้ที่กระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว จะยิ่งมีน้ำหนักโทษรุนแรงกว่าพรรคก้าวไกลเสียด้วยซ้ำ

“ผมย้ำจุดยืน เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่มีความรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิต รวมทั้งไม่รวมคดีทุจริตคอรัปชั่น แต่ควรจะมีเงื่อนไขในการพิจารณาการนิรโทษกรรมอย่างละเอียดรอบคอบ เชื่อว่าสภาเองก็ต้องมีการพิจารณาอย่างรัดกุม ไม่ทำให้เกิดการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง ยืนยันขอคัดค้านถึงที่สุดไม่ให้มีการรวมคดีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม ควรถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด“

นายธนกร ระบุด้วยว่า  ที่ผ่านมาพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เกิดความไม่พอใจและรู้สึกถึงความยุติธรรมไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในสังคมและนำไปสู่ความแตกแยกทางความคิดขึ้น เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์  การเสนอให้มีการยกโทษหรือนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิดคดีนี้ ถือเป็นการลดความสำคัญของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากสถาบัน

พระมหากษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญของความมั่นคงของรัฐ การที่สถาบันถูกทำลายภาพลักษณ์อาจทำให้ประเทศสูญเสียเสถียรภาพและความเป็นปึกแผ่น อาจเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงหรือมีอิทธิพลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น นั่นคือ ผลกระทบต่ออธิปไตยและความเป็นอิสระของประเทศอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ นายธนกร ย้ำว่า ผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ต้องได้รับโทษ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องกำหนดให้ชัดเจนในมาตรา 4 ว่า “มิให้การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้รับการนิรโทษกรรม” เพื่อให้ร่างกฎหมายมีความชัดเจนในการกำหนดข้อยกเว้น ของการกระทำที่จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรม  เพราะการนิรโทษกรรมควรถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างการสร้างความปรองดอง ความยุติธรรมในสังคม และความมั่นคงของชาติ การนิรโทษกรรมที่ขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ร้าวลึกขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติและความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

“ผมเห็นใจเยาวชนน้องๆหลายคน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้ไม่เห็นออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ปล่อยให้เยาวชนติดคุกจำนวนมากซึ่งยอมรับว่าเห็นใจเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ที่โดนคดีแต่ก็เห็นว่า ยังมีหลายคนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีความสำนึก คนที่ต้องออกมารับผิดชอบคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มเยาวชนให้ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสถาบัน หากไม่มีคนอยู่เบื้องหลัง จะไม่มีคนออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งน่าเห็นใจเพราะหลายคนถูกชักชวนและให้ข้อมูลบิดเบือน  ตอนนี้มีหลายเรื่องทั้งความเดือดร้อนปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ซึ่งนายกรัฐมนตรีทำถูกแล้ว ที่มีการเดินหน้าโครงการโอนเงินหมื่นให้กับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเตรียมเดินหน้าโครงการคนละครึ่งด้วย ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ต้องรีบทำเพราะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน70 กว่าล้านคนรออยู่  นิรโทษกรรมยังไม่สำคัญเท่าความเดือดร้อนของประชาชน ผมขอคัดค้านจนถึงที่สุดว่าการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองไม่รวมมาตรา 112” นายธนกร ระบุ

ด้าน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายในวาระการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ว่า 

พรรครวมไทยสร้างชาติ มีมติพรรคไม่เห็นด้วยกับรายงานฉบับดังกล่าว เนื่องจากเนื้อหาในรายงานยังไม่สมบูรณ์ ชัดเจน และได้ขอให้ทางกรรมาธิการได้นำกลับไปทบทวนใหม่ ผ่านกลไกของวิปรัฐบาล แต่ทางคณะกรรมาธิการก็นำรายงานฉบับดังกล่าวนำเสนอสู่ที่ประชุมสภา ให้ได้อภิปรายและลงญัตติกันอีกครั้ง

เหตุที่ พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นชอบ เพราะรายงานฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์  เนื่องด้วยรายงานฉบับดังกล่าวได้เสนอความเห็นของการนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำความผิดในมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไว้ 3 แนวทางคือ

1.ไม่เห็นชอบให้มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112

2.เห็นชอบให้มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112

3. เห็นชอบให้มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112 โดยมีเงื่อนไขที่ทางคณะกรรมการที่ตั้งมาโดยเฉพาะกำหนดขึ้น

พรรครวมไทยสร้างชาติ พิจารณาแล้วมีความคิดเห็นว่า  เป็นการรายงานแบบปลายเปิด ถ้ามีการลงมติเห็นชอบ หรือ รับทราบรายงานนี้ไปแล้ว อาจจะสร้างความเป็นธรรมให้กับรัฐบาลได้  เพราะว่าทางคณะกรรมาธิการที่ศึกษาเรื่องนี้ได้เห็นชอบแล้ว โดยสภาแห่งนี้โดยมีให้พิจารณา 3 แนวทาง รัฐบาลจะเลือกทางใดทางหนึ่งก็ได้ ซึ่งขัดกับจุดยืนของพรรค ที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ผู้ละเมิดกฏหมายอาญามาตรา 112 

ซึ่งทางพรรคได้แสดงจุดยืนในเรื่องนี้อย่างชัดเจนตลอดมา และที่สำคัญ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยไว้ว่า การจะดำเนินกิจกรรมอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวกับการนิรโทษกรรม มาตรา 112 ก็ดี การกระทำมาตรา 112 หรือการกระทำทางการเมืองเกี่ยวกับ มาตรา 112 ทางสภา และ กลไกที่เกี่ยวข้อง ต้องมีความระมัดระวัง อาจจะผิดกฏหมายได้ 

พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ปฏิเสธในเรื่องของการนิรโทษกรรม ได้ทำการเสนอร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ซึ่งในขณะนี้ได้บรรจุเข้าสู่สภาแล้ว กฏหมายฉบับนี้ต้องการนิรโทษกรรมผู้ที่ได้รับความผิด ซึ่งมีเหตุจูงใจจากการเมือง แต่ไม่รวม 3 มูลเหตุ ดังนี้

1.การละเมิดกฏหมายมาตรา112 ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ ซึ่งเรายืนยันที่จะคัดค้านถึงที่สุด 

2.คดีที่เกี่ยวกับทุจริต คอร์รัปชัน เพื่อต่อต้านการทุจริต  เราจะสร้างการเมืองใสสะอาด 

3.ความผิดทางอาญาร้ายแรง เช่น การฆาตกรรม หรือการทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต

“ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติจะขอสนับสนุนกฎหมายนิรโทษกรรมผ่านพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ฉบับ รทสช. แต่ไม่เห็นด้วยกับรายงานฉบับนี้ ซึ่งได้สร้างปลายเปิด ซึ่งอาจจะสร้างความไม่สงบให้กับสังคมในอนาคตได้ จึงขอเน้นย้ำว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยการลงมติของสมาชิกทั้ง 36 คน ยืนยันไม่รับรายงานฉบับดังกล่าวของคณะกรรมาธิการฯ ” นายอัครเดช กล่าว

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

ออร์บิกซ์ คัสโทเดียน เดินเครื่องธุรกิจรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

ออร์บิกซ์ คัสโทเดียน เดินเครื่องธุรกิจรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล ปักธงให้บริการปี 68 รองรับตลาดผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

CEO กสิกรไทย ติด 1 ใน 30 ผู้นำหญิงทรงอิทธิพล

CEO กสิกรไทย ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 30 ผู้นำหญิงทรงอิทธิพล ภูมิภาคเอเชีย จากการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างความเป็นเลิศทางธุรกิจ

KBTG พัฒนา Face Liveness Detection เติมเต็มโซลูชัน AI

KBTG พัฒนา Face Liveness Detection เติมเต็มโซลูชัน AI เพื่อธุรกิจ การันตีด้วยรางวัลนวัตกรรมการเงินยอดเยี่ยม จาก Global Finance

K PLUS พัฒนาฟีเจอร์บริหารเงิน “ตั้งงบ-วางแผน-ลงทุน”

K PLUS พัฒนาฟีเจอร์บริหารเงิน “ตั้งงบ-วางแผน-ลงทุน” ครบวงจร หนุนคนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี