นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ระบุว่า
เพื่อไทย ปอดแหก ใส่เกียร์ถอย
เมื่อมีการเปิดประเด็นเรื่อง ร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ของส.ส. พรรคเพื่อไทยออกมา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างความเห็นของนายอนุทินชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศไม่เอาด้วยกับร่างพรบ.ฉบับนี้ และ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยมติพรรคว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมายกลาโหม กลัวการเมืองเข้าแทรกแซงกองทัพ กระทบความมั่นคงของชาติ
การแสดงท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงจุดยืนของพรรคร่วมรัฐบาลต่อเรื่องการปฏิรูปกองทัพว่า มีความแตกต่างกัน จึงทำให้เห็นความไม่ลงรอย หรือความขัดแย้งทางความคิดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะโดยพื้นฐานพรรคร่วมรัฐบาลในชุดนี้ ต่างก็มีจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ข้ามขั้วมาจัดตั้งรัฐบาล ก็เพราะดีลลับทางการเมือง จึงไม่แปลกใจว่า ทำไม ความเห็นในเรื่องร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
การที่ส.ส. พรรคเพื่อไทยอ้างเหตุผล เรื่องการยกร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมว่า เป็นการป้องกันการรัฐประหาร ซึ่งฟังแล้วไม่สมเหตุสมผล และไม่สามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้ แต่ถ้าอ้างว่าต้องการให้กองทัพยึดโยงกับประชาชน การแต่งตั้งนายทหารในกองทัพ ต้องผ่านมติครม. ซึ่งเป็นรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ฟังแล้วน่าจะมีเหตุผลกว่า
ถ้าดูท่าทีความเห็นของนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เจ้าของร่างพรบ.ฉบับนี้ เริ่มถอดใจจะขอถอนร่างกลับมาปรับปรุงใหม่ และความเห็นของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาปฏิเสธว่า ร่างพรบ.ฉบับนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของส.ส. ไม่เกี่ยวกับพรรคและรัฐบาล แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล กำลังถอยเรื่องนี้ ไม่กล้าที่จะเดินหน้าต่อไป นับว่าเป็นอีกนโยบายหนึ่ง ที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถเดินหน้าได้สำเร็จ
ถ้าหากพรรคเพื่อไทยมีความจริงใจ และมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปกองทัพ โดยการออกพรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมให้ได้ ก็สามารถทำได้ เพราะยังมีเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน พร้อมโหวตให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านไปได้อย่างสะดวก
แต่ต้องถามใจพรรคเพื่อไทยดังๆว่า ยังมีความกล้าอยู่หรือเปล่า
