
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุม ครม.นัดพิเศษ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมไทย-สหรัฐฯ เพื่อใช้ดำเนินการเกี่ยวกับข้อตกลงภาษีทางการค้ากับรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากทางประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สินค้าของไทยในอัตรา 19% สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ รัฐบาลจะเร่งลงรายละเอียดรายสินค้า โดยเฉพาะรายการสินค้าที่ไทยจะเรียกเก็บภาษีกับสหรัฐฯ ในอัตรา 0% ซึ่งมีอยู่หลายรายการ ซึ่งบางรายการจะได้รับภาษี 0% ทันที แต่บางรายการจะขอเวลาในการปรับตัวให้มีความพร้อมก่อน รวมทั้งบางรายการที่จำเป็นต้องกำหนดโควต้า คาดว่า รายละเอียดทั้งหมดนี้ จะใช้เวลานานกว่า 1 เดือน จึงจะได้ข้อสรุป และมีผลบังคับใช้ โดยรายละเอียดทั้งหมดจะเสนอเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาด้วย
นายพิชัย กล่าวว่า ข้อเสนอของไทยที่ได้ยื่นไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% เป็นข้อตกลงที่ยังไม่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย เป็นเพียงหลักการใหญ่ที่ได้ตกลงกันไว้เบื้องต้นในชั้นการเจรจา ซึ่งจะต้องมีการลงรายละเอียดออกมาเป็นรายสัญญาทุก ๆ เรื่อง ดังนั้น รัฐบาลได้จึงนำข้อเสนอทั้งหมดมารายงานต่อที่ประชุม ครม.นัดพิเศษ ครั้งนี้ และจัดทำเป็นร่างถ้อยแถลงร่วมไทย-สหรัฐฯ ซึ่งที่ประชุมครม.ได้มีมติเห็นชอบแล้ว
“หลังจากครม.เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมไทย-สหรัฐฯ แล้ว สิ่งเป็นข้อตกลงเบื้องต้นคงมีการเผยแพร่จากทางสหรัฐฯ โดยจะนำข้อตกลงทั้งหมดมาเจรจา เพื่อนำไปสู่การทำเป็นสัญญาในระยะต่อไป เพราะตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนครั้งที่ 1 ที่จะต้องลงรายละเอียดในเร็ววัน เพราะสหรัฐฯ ได้แจ้งมาว่าทันทีที่เสร็จเรื่องนี้ก็อยากหารือต่อทันที” นายพิขัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ในรายละเอียดของการเจรจาเรื่องต่าง ๆ เช่น การซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ จะมีกติการ่วมกันอย่างไร เช่นเดียวกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) จะต้องมาตกลงกันอีกครั้งว่าจะมีแนวทางอย่างไรด้วย
เมื่อถามถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ นั้น นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการรองรับแล้วตามความเป็นที่เกิดขึ้นของลักษณะธุรกิจ ส่วนแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ช่วยเหลือหลัก ๆ ทั้งการจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนชั่วคราวสำหรับการส่งออก อีกส่วนคือผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวล่าสุดรัฐบาลอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเป็นรายกลุ่ม หรือเป็นประเภทธุรกิจด้วย