
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย โพสต์เฟสบุ๊ก “อมรเทพ จาวะลา” ระบุว่า
การเมืองไทยขัดแย้งซ้ำซ้อน เศรษฐกิจรอไม่ได้
การเมืองไทยเสี่ยงกำลังเข้าสู่ทางตันครั้งใหญ่
เมื่อ รักษาการนายกฯ ประกาศยุบสภา แต่ถูกตีความว่า ไม่มีอำนาจยุบสภา ขณะที่ฝ่ายค้านรวมเสียงเกินครึ่ง กำลังเดินหน้าโหวตนายกฯ ใหม่
กลายเป็น สองเส้นทางขนาน ที่สวนทางกัน — ฝ่ายหนึ่งจะยุบสภา อีกฝ่ายจะตั้งรัฐบาลใหม่ → สถานการณ์เช่นนี้จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะชะงักงัน และอาจต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระเข้ามาชี้ขาด
ลองจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสัปดาห์นี้
1. ศาลรัฐธรรมนูญ/องค์กรอิสระเข้ามาชี้ขาด
โอกาสสูงที่จะต้องรอการตีความของ ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งช่วงเวลานี้จะยืดเยื้อ และอาจกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน การเบิกจ่ายงบประมาณ และเศรษฐกิจ
2. ฝ่ายค้านตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ถ้าฝ่ายค้านรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งจริง และได้รับการรับรองจากสภา อาจมีการเสนอชื่อนายกฯ ใหม่และโหวตได้สำเร็จแต่จะถูกท้าทายเรื่อง “ความชอบธรรม” หากฝ่ายรักษาการยังยืนยันสิทธิยุบสภา
3. เลือกตั้งใหม่ (ถ้ายุบสภาผ่านได้)
สุดท้ายมีการยอมรับว่าการยุบสภาโดยรักษาการนายกฯ เป็นอำนาจที่ทำได้ จะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ → แต่การเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้งทางกฎหมายและความไม่แน่นอน อาจทำให้เกิด ความเสี่ยงความชอบธรรม ของผลเลือกตั้ง
สรุป: หนทางข้างหน้ามี 3 scenario หลัก
ศาล/องค์กรอิสระชี้ขาด → กำหนดชัดว่าใครมีอำนาจ (likely)
ฝ่ายค้านตั้งรัฐบาลใหม่ได้ → แต่เสี่ยงถูกท้าทายความชอบธรรม
ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ → Reset ระบบ แต่ยืดเวลา
ผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังจากนี้:
งบประมาณเบิกจ่ายล่าช้า → รัฐบาลไม่น่าจะเดินหน้าโครงการใหม่ได้ ทั้งรัฐบาลรักษาการที่รอยุบสภา และรัฐบาลใหม่ที่เตรียมจัดตั้ง อาจรั้งการเบิกจ่ายในเดือนกันยายนและลากไปเดือนถัดๆไป (ข้อดีคืองบประมาณผ่านรัฐสภาแล้ว แต่ข้อเสียคือขาดอำนาจใช้เงิน)
ความเชื่อมั่นนักลงทุนหายไป → นักลงทุนในประเทศ Wait & See รอดูสถานการณ์ โดยเฉพาะภาคก่อสร้างน่าทรุดหนักจากการขาดความเชื่อมั่น กลุ่มลงทุนก็โดนผลกระทบก่อนหน้าจากสงครามการค้า ส่วนนักลงทุนต่างชาติน่าชะลอหรือย้ายการลงทุน → เงินทุนใหม่อาจไหลไปเวียดนามและประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า
ประชาชนชะลอการใช้จ่าย → ความไม่มั่นใจทำให้กำลังซื้ออ่อนตัว รายได้โตช้า (แต่ในกรณีเลือกตั้งอาจเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น) แม้ภาคการท่องเที่ยวไม่น่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในระยะสั้น เว้นแต่เกิดการประท้วงที่รุนแรงหรือความวุ่นวายการเมือง
สรุป: เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายนมีโอกาส “หดตัว” สูง หากการเมืองไม่พบทางออกได้เร็วพอ ความเสี่ยงการชะลอตัวอาจหนักขึ้น และยืดเยื้อไปสู่ไตรมาส 4
สิ่งที่ทุกฝ่ายหวังคือ การหาทางออกในระยะสั้น เพื่อไม่ให้ความไม่แน่นอนกัดกร่อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเกินเยียวยา
อมรเทพ จาวะลา
3 กย 68