
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 1 พ.ย. ที่อากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง นายอนุทินชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เดินทางกลับจากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยทันทีที่ถึงไทยนายกฯได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “บุญนำพา กลับมาถึงถิ่น ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร” พร้อมกับใส่ทำนองเพลง “บ้านเรา” ซึ่งขับร้องโดย ตู่นันทิดา แก้วบัวสาย
จากนั้นนายกฯแถลงข่าว พร้อมด้วย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม ร่วมด้วย
โดยนายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตนและคณะได้เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ จากภารกิจต่อเนื่องคือการไปร่วมประชุมอาเซียนซัมมิท ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียและการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเปค ที่เกาหลีใต้ การเดินทางไปครั้งนี้ได้ร่วมประชุม 2 วาระติดต่อกัน จุดประสงค์คือไปเปิดตลาดให้กับประเทศไทย เราเอาของไปขาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร การส่งเสริมการท่องเที่ยว การเพิ่มโควต้าแรงงาน โดยขอให้เขารับแรงงานไทย ที่มีฝีมือไปทำงานเพิ่มมากขึ้น การชักชวนให้มาลงทุนด้านเทคโนโลยีในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งทุกประเทศให้การตอบรับเป็นอย่างดี
นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ภารกิจครั้งนี้ถือว่าเป็นการนำประเทศไทยกลับมาสู่เวทีโลกอย่างชัดเจนอีกครั้ง โดยรมว.การต่างประเทศ ได้ใช้คำพูดกับตน ซึ่งทำให้ตนรู้สึกดีใจโดยบอกว่านายกฯตอนนี้ประเทศไทยของเรากลับเข้ามาสู่จอเรย์ดาร์อีกแล้ว การกลับเข้ามาสู่จอเรดาร์ของโลกถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี เพราะอะไรก็ตามที่ปรากฏอยู่ในจอเรดาร์ เราจะได้รับความสนใจ และให้ความสำคัญ ซึ่งเราจะต้องระมัดระวังตัวเองและทำตัวเราเองให้มีความเข้มแข็งตลอดเวลา
นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ตนไม่ใช่แค่พบเฉพาะผู้นำประเทศ แต่ยังได้พบผู้นำองค์กรระหว่างประเทศด้วย ซึ่งได้ใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่ในการสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขา โดยเฉพาะการที่เขาจะเข้ามาลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศไทย ตนได้เน้นย้ำถึงศักยภาพต่างๆของไทย และการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ตรงนี้เราได้ให้ความมั่นใจว่าพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอต่างๆหากเขาตัดสินใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งในปีหน้านี้ประเทศไทยเราจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank IMF ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้เราได้รับโอกาสอีกมากมายจากต่างชาติเช่นกัน ซึ่งทางการค้าตอนนี้ประเทศไทยเน้น 4 เรื่องหลักที่จะวางตำแหน่งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหรือฮับในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งต้องเตรียมในเรื่องของการขนส่งโลจิสติกส์ เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร Data Center เศรษฐกิจสีเขียว
นายกฯ กล่าวว่า จากการพบกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้เจรจาให้เพิ่มแรงงานถูกกฎหมาย เปิดโอกาสให้คนไทยได้ไปทำงานมากขึ้น และขอให้สร้างความมั่นใจว่าแรงงานไทยจะได้รับการคุ้มครองและรับสิทธิ์ตามกฎหมาย มีศักดิ์ศรี มีความมั่นคงในอาชีพ ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ หากมีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้น และขอยืนยันว่าในการเจรจาของเราทุกเรื่องยืนบนหลักการความถูกต้องและผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือความมั่นคง
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เรื่องของภูมิศาสตร์ การรักษาบาลานซ์กับชาติมหาอำนาจ ในการเป็นประเทศไทย ตนได้หารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งได้มีความร่วมมือตามที่รายงานไป และมีโอกาสพบในรูปแบบทวิภาคีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี เราสามารถที่จะใช้ความเป็นประเทศไทยในการสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความแข็งแรงให้กับประเทศไทยของเรา เพราะเราเจอทั้งสหรัฐอเมริกา และจีน เราอยากให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่าประเทศไทยยังไม่ถึงจุดทางตันหรือจุดอับใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่วันนี้เราอยู่เฉยๆ และหวังว่าคนจะวิ่งเข้ามานั้นไม่มี มีแต่เราต้องวิ่งออกไป เพื่อไปบอกว่าเรามีดีอะไรบ้าง และรักษาความสัมพันธ์ให้ดีกับทุกประเทศ ให้มีทางออก มีทางเลือก และไม่ทำให้ประเทศเสียศักดิ์ศรี ทำให้เขาเห็นว่า เราอยู่ในประชาคมเดียวกับเขา และให้เกิดผลประโยชน์กับตัวเขาเอง และตัวเราด้วย ทั้งนี้ เราเข้าใจดีว่าไม่มีใครอยากคบกับประเทศใดที่ไม่สามารถสร้างประโยชน์อะไรให้กับเขาได้ ดังนั้นเราจึงต้องนำเสนอให้เขาเห็นว่าคบกับเราแล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร และประชาชนของเขาได้ประโยชน์อะไร
นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เราบาลานซ์ความสําคัญกับประเทศมหาอํานาจนั้น ตนได้หารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ยืนยันว่าการประชุมเอเปคและการประชุมอาเซียน เราจะสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่แข็งแรงให้กับประเทศ
นายอนุทิน กล่าวว่า ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงให้ความสําคัญ และให้เวลาในการหารือทวิภาคีกับประเทศไทย ท่านยืนยันหลายครั้งว่าตอนนี้ประเทศจีนมีความพร้อมในการรับเสด็จเยือนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินี ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปีที่แน่นแฟ้นมากขึ้น




